เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบก.สส.สตม.) ในฐานะหัวหน้าชุดเทคนิคและสืบสวนที่ 1 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาชาวไทย 39 คน และคนจีนที่เป็นผู้บงการที่ถูกตำรวจไทยและกัมพูชาบุกจับกุมได้ที่กรุงพนมเปญและเมืองสีหนุวิลล์ว่า ร่วมประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการกัมพูชาเพื่อหารือเรื่องการดำเนินคดีกับคนไทยที่ถูกจับกุมตัวแล้ว ได้ข้อสรุปว่าเจ้าหน้าที่จะส่งตัวคนไทยทั้งหมดกลับมาดำเนินคดีที่ไทยผ่านทางด่านชายแดน จ.สระแก้ว ซึ่งทยอยส่งตัวแล้วเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา เมื่อมาถึงผ่านพิธีการเข้าเมืองจะต้องกักตัวตามมาตรการสาธารณสุข จากนั้น จะดำเนินการสอบสวนรายบุคคลคน เพื่อคัดแยกการกระทำความผิดและดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กำชับให้ สตม. ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดพร้อมขยายผลในทุกมิติ เพื่อออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการทุกคน
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นพบว่าคนไทยทั้งหมดลักลอบเดินทางออกจากเมืองไทยทางช่องทางธรรมชาติโดยผิดกฎหมายไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยผ่านนายหน้าซึ่งเชื่อว่ามีนายทุนใหญ่เป็นคนจีนที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชาหากสอบสวนพบการกระทำความผิดใดก็จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าก่อความเสียหายให้กับคนไทยจำนวนมากรวมเป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท สำหรับ นายพยัคฆพล ชิงหลู่ อายุ 30 ปี ที่มีหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงต้นเป็นบุคคลอื่น และร่วมกันฟอกเงิน นั้นถือเป็นตัวการใหญ่ที่ทำหน้าที่โอนเงินผ่านบัญชีต่างๆให้กับขบวนการนี้เบื้องต้นอายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องไว้แล้วและจะดำเนินการยึดทรัพย์ตามขั้นตอนของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ต่อไป
“สำหรับการขยายผลไปถึงคนจีนที่อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งคนชาติอื่นๆที่ชุดจับกุมพบในที่เกิดเหตุนั้น ทางการกัมพูชาประสานงานให้ตำรวจไทยรวบรวมพยานหลักฐานประสานงานระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินคดีให้เด็ดขาด เพราะกัมพูชาก็กังวลเรื่องชาวต่างชาติมาใช้ประเทศกัมพูชาเป็นฐานกระทำความผิด จึงอยากให้ไทยช่วยส่งหลักฐานทั้งหมดเพื่อดำเนินการต่อไป” พล.ต.ต.พันธนะ กล่าว
ที่มา matichon