ล้วงลึกชีวิต‘หนุ่ม กรรชัย’ ‘ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมน’ – จากนักแสดง ผันตัวสู่พิธีกรและผู้ประกาศข่าว สำหรับ ‘หนุ่ม’ กรรชัย กำเนิดพลอย กลายเป็นผู้แบกความคาดหวังของคนที่ได้รับความเดือดร้อน หลังดำเนินรายการ “โหนกระแส” ทางช่อง 3 ด้วยบทบาทหน้าที่ที่ตรงไปตรงมา จนครองใจแฟนๆ
วันนี้มาล้วงลึก ‘หนุ่ม กรรชัย’ ถึงการทำหน้าที่ดังกล่าว รวมถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัว ที่ในอดีตขึ้นชื่อเจ้าชู้ตัวพ่อ!
ชีวิตในปี 2564 เป็นอย่างไรบ้าง?
หนุ่ม – “ก็เหนื่อยเหมือนเดิม เพราะผมทำงานทางข่าวมา 4-5 ปีแล้ว โหนกระแส 4 ปีกว่า ผู้ประกาศ 3 ปีกว่า ไม่คิดว่าชีวิตจะพลิกไปมาจนกลายมาเป็นผู้ประกาศข่าว ตัวผมเอง หรือคนใกล้ตัวผม ไม่มีใครคิด หรือแม้แต่คนอื่นๆ ก็ไม่เคยคิด มานั่งคิดก็ยังงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกูวะ (หัวเราะ)”
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากนักแสดง พิธีกร มาเป็นคนข่าว?
หนุ่ม – “เมื่อก่อนผมเคยเล่นละครอยู่กับอาร์เอส แล้วได้รับโอกาสจากเฮียฮ้อ (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) ให้ทำรายการวาไรตี้ ชื่อ เมืองไทยวาไรตี้ เป็นรายการสดทุกวัน แนววาไรตี้
อยู่ดีๆ มีการเปลี่ยนแปลง จากวาไรตี้ก็มีเนื้อข่าวเข้ามา มีข่าวรอบวัน ก็รู้สึกชอบ แต่มันไม่ได้เป็นรายการข่าว มาทำ บอก 9 เล่าสิบ ปากโป้ง ก็ยังมีวาไรตี้ผสม เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง ไม่ได้ชัด”
“จนมาอยู่ช่อง 3 ทำ โหนกระแส อันนี้เป็นฮาร์ดทอล์ก เป็นข่าวโดยตรงว่าช่วงนี้มีกระแสสังคมอะไร ก็มาทำช่อง 28 ปรากฏคุณอัมพร มาลีนนท์ กับพี่ตั๋ม สุบัณฑิต (สุวรรณนพ) เรียกไปคุย
ถามว่าสนใจอยากเป็นผู้ประกาศข่าวไหม ตอนแรกไม่อยาก ประมาณตัวเองแล้วว่าไม่ได้มาทางนี้ แต่ชอบสัมภาษณ์คน อยากรู้เรื่องคนโน้นคนนี้ แต่การมานั่งอ่านข่าว
คือการเอาเรื่องของคนอื่นมาเล่าให้คนอื่นฟัง มันไม่เหมือนกันนะ สัมภาษณ์คืออยากรู้อยากเห็น ถามเล่ามาว่าเรื่องเป็นยังไง เราฟัง แต่การที่เอาเรื่องคนอื่นไปพูดมันอีกแบบนึง ต่างกัน”
“ก็เอาไปคิดอยู่เดือนสองเดือน รู้สึกว่าเป็นโอกาส การจะเป็นผู้ประกาศช่อง 3 ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเป็นข่าวหลัก โอกาสนี้ถ้าทิ้งไปอาจจะไม่มีอีกก็ได้ เราควรคว้าไว้ มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่ ก็เลยบอกว่าทำครับ ทั้งที่ไม่มั่นใจ ก็คิดว่าถ้าทำไม่ได้จริงๆ ค่อยลาออก (หัวเราะ)”
“พอทำมันติดลม ชอบ เหมือนแข่งกับตัวเอง แข่งกับคำพูดของคนอื่น ลบคำ สบประมาท เพราะตอนแรกที่เข้ามาทำ คนไม่เห็นด้วยเยอะมาก บอกว่าผมทำไม่ได้หรอก เป็นผู้สื่อข่าวก็ไม่ใช่
ไม่รู้จะนิยามว่าอะไร บางคนค่อนแคะว่าการเป็นสื่อ คือเป็นสื่อกลางได้ แต่เป็นคนกลางไม่ได้ ไม่เป็นไรก็ว่าไป แนวของผมเป็นแบบนี้ ก็ทำแบบนี้ ผมมองว่า มันเป็นเรื่องจริยธรรมในหัวใจมนุษย์ มันคือมนุษยธรรมที่เราจะช่วยใครสักคน ไม่ใช่ว่าเป็นสื่อแล้วเราจะช่วยใครไม่ได้”
เรียกว่าเป็นคนที่เปิดแนวทางที่สื่อไม่ใช่เป็นแค่สื่อกลาง แต่ยังเป็นคนกลางด้วย?
หนุ่ม – “ไม่แน่ใจ แต่จริงๆ อาจจะมีท่านอื่นๆ จะมาบอกว่าเป็นตัวผมเองเลยก็คงไม่ใช่ แต่ผมก็มีแนวทางของผม อย่างผมทำรายการ โหนกระแส ผมมองว่าเวทีนี้เป็น กระบอกเสียงให้ประชาชนในการช่วยเหลือคน บางคนก็ถามว่ามันไม่ได้เป็นกระแส ออกไม่ได้ใช่ไหม ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ อย่างเรื่องของฟ้าลูกจ้างที่โดนนายจ้างทารุณกรรม
ก็ไม่ได้มีกระแสนะ แต่เขามาร้องกับผม ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องช่วย ก็เอามาออกข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เสร็จแล้วก็เชิญมาออกโหนกระแส ก็เป็นประเด็นระเบิดขึ้นมา”
มีคนติดต่อเข้ามาขอความช่วยเหลือเยอะไหม?
หนุ่ม – “เยอะมาก ส่งข้อความมาหาทั้งเพจผมเอง เพจโหน กระแส ส่งมาที่ช่อง คือถ้าส่งมาทางเพจ โหนกระแส วันนึงมากกว่า 300 เรื่อง”
มันสะท้อนให้เห็นว่าสมัยนี้ประชาชนพึ่งคนที่เป็นกระบอกเสียงให้เขาได้?
หนุ่ม – “อาจจะประมาณนั้น แต่ตัวผมก็เข้าใจในทุกบริบท เรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตเขา ก็พยายามช่วยได้เท่าที่ช่วยได้
แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเราออกอากาศอาทิตย์นึงแค่ห้าวัน วันละเรื่อง บางทีก็ไปไม่ถึงเขา ก็พยายามเอาเรื่องที่จำเป็นที่สุด หนักหนาที่สุด”
“อย่างเรื่องของฟ้า ผมก็ไม่ได้เอามาทำแค่ให้เป็นข่าว ผมอยากช่วยเขาให้สุดทาง ก็ไปคุยกับสถานพยาบาล ถามว่ามีหมอเฉพาะทางสำหรับด้านนี้โดยตรง คือไม่ใช่แค่ทำให้ออกมาสวยงาม
ทำแล้วให้ออกมาใช้ได้จริง อย่างกระดูกมือแตก ต้องหาหมอที่ทำให้มือเขากลับมาใช้ได้ มีปัญหาเรื่อง ฟันกรามแตกเคี้ยวข้าวไม่ได้ ก็ต้องไปหาหมอฟันที่สามารถล็อกเพื่อให้เขาเคี้ยวได้ ถ้าช่วยแล้วเราช่วยให้สุดเท่าที่จะช่วยได้”
รายการ โหนกระแส เป็นรายการสดเราควบคุมแขกยากไหม เพราะเอาคู่กรณีมาเจอกัน?
หนุ่ม – “ยาก เพราะมันก็จะมีประเด็น อยู่ดีๆ ก็พูดจาหยาบคายออกมา ชาวบ้านเนอะ เราก็เข้าใจ เราก็ผิดเอง ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ได้บอกเขา แต่หลังจากที่มีประเด็นเกิดขึ้น
ผมก็จะบอกก่อนว่าอันนี้พูดไม่ได้ รายการมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ดูอยู่ รายการ โทรทัศน์มีกสทช.คุมอยู่ ถ้าอยู่โซเชี่ยลก็จะเป็นอีกแบบนึง”
เคสไหนที่ควบคุมยากที่สุด?
หนุ่ม – “ล่าสุดที่เป็นประเด็นเรื่องเมียหลวงเมียน้อยที่เขาพูดขึ้นมาว่าไปขายอวัยวะเพศ คนที่พูดคือเป็นฝั่งที่วิดีโอคอล เข้ามา เขาไม่ฟัง อยากจะพูดอย่างเดียว”
การจัดคู่กรณีมาเจรจากัน เราเป็นคนกลาง ต้องควบคุมอารมณ์ทั้งสองฝ่ายอย่างไรไม่ให้หลุด?
หนุ่ม – “ผมเชื่อว่าการที่เขามานั่งตรงนี้ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไร ผมก็บอกว่าไม่ได้มาทะเลาะกันนะ เพียงแค่ว่าเราให้พื้นที่คุณชี้แจง เพราะสังคมเขามองอยู่ แต่อาจจะมีบางเคสที่เขาไม่ได้มา แล้วมาโวยวาย หรือบางคนไม่มีเหตุผล อีกฝ่ายมานั่งปั่นก็มี”
“ด้วยรายการ โหนกระแส บางทีออกอากาศไปปุ๊บจะกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ บางคนก็จะว่ารายการเอาคนมาทะเลาะกัน จริงๆ ไม่ใช่ เพียงแต่เราเปิดเวทีให้เขาคุยกัน
ผมคิดลึกลงไปอีกว่า บางเรื่องน้ำผึ้งแค่หยดเดียวมันอาจทำให้คนฆ่ากันได้ เราแค่ลดปัญหาสังคมเพื่อไม่ให้เหตุไปไกลกว่านี้ ผมไม่ได้มองแค่วันนี้ ผมมองไปวันข้างหน้าด้วย บางคนไม่เข้าใจ มองว่าทำเรื่องแบบนี้เพื่ออะไร”
ยากไหม?
หนุ่ม – “ยากตรงเอาใจคน แต่เข้าใจตรงที่ทุกคนคาดหวัง ผมก็พยายามทำในสิ่งที่หลายคนอยากให้ทำ ไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่บางเรื่องทำไม่ได้ เพราะข้อจำกัดไม่ได้อยู่ที่ตัวผม ข้อจำกัดอยู่ที่ช่อง อยู่ที่ กสทช.”
อยู่บนความคาดหวังของหลายๆ คนรู้สึกยังไงบ้าง?
หนุ่ม – “ถามว่าดีใจไหม ดีใจ แต่ก็มีความทุกข์ใจปนอยู่ด้วย เพราะเวลาที่เราแบกความคาดหวังของหลายๆ คนไว้ มันจะต้องทำอย่างไรให้สังคมเข้าใจ สุดท้ายก็ต้องกลับไปคิดให้ตกตะกอน มันไม่ได้หรอก เราไม่ใช่ซูเปอร์แมน แล้วเราก็ไม่ใช่นายกฯ เราก็ทำได้ในสิ่งที่เราต้องทำ บางเรื่องก็ต้องเว้นไว้ ก็ต้องยอมให้คนว่าไป”
มันก็เลยจะมีคำพูดที่ว่า เรื่องไหนที่ไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นๆ แล้วไม่ได้รับการช่วยเหลือ คนก็จะบอกว่า ให้ไปหา ‘หนุ่ม กรรชัย’ เขาช่วยได้ รู้สึกยังไง?
หนุ่ม – “ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่กฎหมาย ไม่ใช่ตำรวจ แต่ก็เข้าใจคนเหล่านี้ แล้วต้องยอมรับว่าบางเรื่องเวลาที่เขาร้องไปมันเงียบ ต้องให้เป็นข่าว ต้องให้สังคมกดดัน ถึงจะมีหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือ
คุณจะมาว่าด่าผมไม่ได้ ผมไม่ได้ปีนเกลียว แล้วไม่ได้เจตนาว่าหน่วยงานไหน แต่คุณต้องยอมรับว่า ถ้าคุณอำนวยความสะดวก หรือคุณรับแจ้ง หรือคุณเข้าไปดูแล เรื่องทั้งหมดก็จะไม่มาตกอยู่กับสื่อ เพราะสมัยนี้กลายเป็นว่าคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องมาร้องสื่อ”
เรามีการวางตัวอย่างไร ด้วยอยู่ในแสงสปอตไลต์ส่องตลอด?
หนุ่ม – “เฉยๆ นะ ผมก็ยังเป็น หนุ่ม กรรชัย คนเดิม ที่แตะต้องได้ ผมเล่นโซเชี่ยล ตอบโซเชี่ยล เล่นทวิตเตอร์ คุยกับคุณ ผมอยากให้ทุกคนรู้สึกว่าผมอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่ว่าเราอยู่ในแสงแล้วต้องอยู่เหนือที่สุด ไม่ใช่”
รู้สึกไหมว่า เราจะทำผิดไม่ได้?
หนุ่ม – “เราไม่สามารถรู้เลยว่าชีวิตเราจะเป็นยังไง ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีผิดมีถูก อยู่ตรงนี้เป็นสื่อ แล้ววันนึงผมจะทำความผิดก็ได้ อาจขับรถเร็ว มีไอ้โน่นไอ้นี่เหมือนคนทั่วไป เพียงแต่เราก็ต้องเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ สื่อเป็นคนที่ชี้นำสังคม เราพูดเตือนคนอื่น ตัวเราก็ต้องเตือนตัวเองเหมือนกัน”
ย้อนชีวิตรัก ‘หนุ่ม กรรชัย’ เป็นบุคคลที่ถ้าพูดถึงเรื่องราวความรักก็จะมีเรื่องราวยาวเลย?
หนุ่ม – “ก็เป็นอย่างที่คนรู้กันนั่นแหละ สมัยก่อนผมก็เจ้าชู้ เป็นเรื่องที่โกหกไม่ได้เพราะมีหลักฐาน เหมือนมีจดหมายเหตุ เพราะถ้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มันก็จะขึ้นเลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตผมบ้าง
ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ถ้าใครมาอำว่าผมเจ้าชู้ เราไม่ปฏิเสธ ผมตอแหลไม่ได้ ใช่เมื่อก่อนผมเกเรจริง และเจ้าชู้ แต่หลังจากนั้นเราก็รู้ว่าเราทำอะไร อยู่บนพื้นฐานตรงไหน เราปรับปรุงตัวเองอย่างไร โชคดีว่าตอนนั้นไม่มีโซเชี่ยล”
ได้มองย้อนกลับบ้างไหม?
หนุ่ม – “มอง ผมว่านะ ไอ้ละครที่มีอยู่ทุกวันนี้ หรือเรื่องที่เป็นประเด็นทุกวันนี้ ผมว่าเรื่องผมสุดกว่าอีก สุดจริงๆ ในทุกช่วงชีวิตเลยจะบอกให้”
มองย้อนกลับไปแล้วนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก?
หนุ่ม – “ประสบการณ์ชีวิต ผมจะมองแล้วไม่ไปโทษว่าเราไม่น่าทำแบบนั้นแบบนี้ มันเปล่าประโยชน์ เราแค่เอาประสบการณ์ชีวิตตรงนั้นมาสอนคนได้เท่านั้นเอง ผมมองว่าเราอาจจะได้เปรียบตรงนี้ด้วยซ้ำ เพราะเรามีประสบการณ์ชีวิตโดยตรง เราจะรู้ว่าผู้ชายเจ้าชู้เป็น ยังไง การออกนอกลู่นอกทางทำยังไง สิ่งนี้มึงโกหกเมียมึงยังไง คนนี้โกหกแฟนยังไง มันก็จะรู้ มันเป็นสิ่งที่หลอกเราไม่ได้”
เลิกเจ้าชู้หรือยัง?
หนุ่ม – “ตอบไม่ได้ว่าเลิกหรือยัง หรือยังไม่เลิก แต่ใช้คำว่าหยุดแล้วดีกว่า”
หยุดเพราะลูกสาว?
หนุ่ม – “ก็ด้วยส่วนหนึ่ง อีกอย่างเป็นที่ตัวเราเองด้วยแหละ เพราะเราก็แก่แล้ว คงไม่มีใครจะมานิยมชมชอบแล้ว”
เรารู้สึกว่าไม่สนุก ไม่ท้าทายกับเรื่องพวกนี้แล้วตอนไหน?
หนุ่ม – “ไม่เคยรู้สึกว่ามันไม่สนุกหรือว่ามันไม่ท้าทายนะ แค่รู้สึกว่ามันเบื่อ มันอิ่มตัวไปเอง เมื่อก่อนชอบไปเที่ยว เดี๋ยวนี้ก็ไม่ไป รู้สึกเบื่อ มันถึงจุดๆ หนึ่งที่มันอิ่มตัวแล้ว”
มีคนเข้ามาไหม?
หนุ่ม – “ไม่มี ถ้ามีมายูเอาผมตาย ไม่มีหรอกครับ”
แหม…ถ้ามีล่ะก็ อาจจะได้ออกรายการ โหนกระแส ของตัวเองซะล่ะมั้ง
ที่มา khaosod