แม่ค้าร้านชำโร่ขึ้นโรงพัก หอบหลักฐานแจ้งตำรวจ หลังถูก “2 ผัว-เมีย” ตระกูลดัง หลอกยืมเงินหลายครั้ง อ้างวิ่งเต้นแบงก์ชาติ ถอนเงินหมื่นล้าน-ยื่น 5 พันล้านล่อ สุดทน 3 ปี ถูกตุ๋นสูญ 39 ล้าน เผยเหตุแจ้งความช้า เพราะยังแอบมีความหวังได้คืน 

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.64 นางอาภา ภูขะมา อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99 หมู่ 6 บ้านดอนกลอย ต.หนองอิเฒ่า อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นำหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารจำนวนกว่า 200 หน้า พร้อมภาพถ่าย คลิปเสียง และสลิปโอนเงิน เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยางตลาด ว่าถูกคนรู้จักหลอกให้โอนเงินหลายครั้ง สูญเงินรวมกว่า 39 ล้านบาท 

โดย นางอาภา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยไปทำงานต่างประเทศ พอเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง จึงกลับมาเปิดร้านขายของชำ ที่บ้านเกิด จ.กาฬสินธุ์ การค้าขายค่อนข้างไปได้ด้วยดี จากนั้นปลายเดือน มี.ค. 2558 มี 2 สามีภรรยา ชื่อ นายเอและนางบี (นามสมมติ) เป็นชาว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เข้ามาตีสนิท อ้างว่ารู้จักกับอาจารย์ที่เคยสอนตนตอนเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ก่อนจะแนะนำให้ตนรู้จักกับ 2 สามีภรรยาอีกคู่ ซึ่งเป็นชาว จ.มหาสารคาม มีนามสกุลใหญ่โต มีชื่อเสียงใน จ.มหาสารคาม โดยบอกว่าต้องการเงินด่วน จำนวน 180,000 บาท เพื่อนำไปวิ่งเต้นถอนอายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่ามาจากธนาคารแห่งชาติ โดยจะขอยืมจากตนเพียง 7 วันเท่านั้น ก็จะคืนให้ หลังจากนั้นจึงนัดหมายกันเพื่อลงบันทึกกู้ยืมและกำหนดวันส่ง ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน อ.ยางตลาด

นางอาภา เล่าต่อว่า สาเหตุที่ตนยอมให้ 2 สามีภรรยาชาวมหาสารคาม ยืมเงินนั้น เนื่องจากเชื่อใจนายเอและนางบี 2 สามีภรรยาชาวกาฬสินธุ์ ที่เป็นคนรู้จักกับอาจารย์ของตน และรู้สึกเห็นใจคนเดือดร้อนต้องการเงิน จึงไม่คิดอะไรมาก แต่พอถึงกำหนดนัดคืนเงิน ทาง 2 สามีภรรยาชาวมหาสารคาม ก็พยายามบ่ายเบี่ยงและอ้างว่าเงินที่ยืมมาจำนวน 180,000 บาท ยังไม่สามารถถอนอายัดได้ เนื่องจากเงินในบัญชีมีจำนวนมากถึง 10,000 ล้านบาท นอกจากจะถูกธนาคารแห่งชาติอายัดไว้แล้ว ยังถูก ปปง.กำลังตรวจสอบและอายัดไว้ด้วย กระทั่งวันที่ 1 พ.ค.2558 ได้ขอยืมเงินจากตนอีก จำนวน 380,000 บาท เพื่อไปวิ่งเต้นให้เจ้าหน้าที่ ปปง.ทำการถอนอายัดให้ เพราะบัญชีมีเงินมาก จึงอาจจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ ซึ่ง 2 สามีภรรยาชาวมหาสารคามได้ยื่นข้อเสนอว่า หากให้ยืมจะให้ค่าตอบแทนกับตน จำนวน 2,500 ล้านบาท ตนจึงหลงเชื่อและเบิกเงินสดมาให้ 

นางอาภา เล่าต่อว่า สำหรับข้อมูลของสองสามีภรรยาชาวมหาสารคามคู่นี้ ตนไม่เคยรู้จักและทราบเลย แต่เนื่องจากมั่นใจในตัว 2 สามีภรรยาชาวกาฬสินธุ์ และเห็นว่าเป็นนามสกุลของคนมีชื่อเสียงใน จ.มหาสารคาม ด้วย ประกอบกับมีการป้อนข้อมูลให้ตนทราบว่า 2 สามีภรรยาชาวมหาสารคาม ฝ่ายชายเป็นลูกชายของแม่เลี้ยง ฐานะร่ำรวยมากระดับเศรษฐีอยู่ที่เชียงใหม่ ทางครอบครัวจะโอนเงินมาให้ลูกชาย แต่เนื่องจากเงินในบัญชีมีจำนวนมาก จึงถูกอายัดไว้และไม่สามารถถอนออกมาได้ จึงต้องหาหยิบยืมเงินเพื่อนำไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ ปปง.ให้ถอนอายัด ตนจึงยอมเชื่อใจอย่างง่ายดาย 

นางอาภา เล่าอีกว่า หลังจากตนได้ให้ยืมเงินไปแล้ว จากนั้น 2 สามีภรรยาชาวมหาสารคามได้ติดต่อมาขอยืมเงินตนอีกหลายครั้ง อ้างจะเอาเงินไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ ปปง.และธนาคารแห่งชาติ เพื่อนำเงินออกมาให้ได้ โดยมี 2 สามีภรรยาชาวกาฬสินธุ์เป็นผู้ประสานงาน พร้อมยื่นข้อเสนอจะเพิ่มค่าตอบแทนให้จากเดิม 2,500 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท ตนจึงหลงเชื่อและโอนเงินไปให้หลายครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 4 แสนถึง 1 ล้านบาท มาตั้งแต่ปี 2558 เรื่อยมาจนครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี 2560 ได้นำโฉนดที่ดินของตัวเองและญาติพี่น้องไปจำนองและกู้เงินธนาคาร เพื่อนำเงินมาให้ 2 สามีภรรยาชาวมหาสารคามยืมอีก รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมด 39 ล้านบาท 

นางอาภา เล่าอีกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างเดือน เม.ย.2558-2560 ส่วนสาเหตุที่ตนปล่อยให้ล่วงเลยมานานถึง 4 ปี และตัดสินใจเข้าแจ้งความวันนี้นั้น เนื่องจากยังมีความหวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนจากสามีภรรยาคู่กรณี จำนวน 5,000 ล้านบาท หรือไม่ก็ได้เงินของตนคืนมาก็ยังดี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สักบาท และล่าสุดทราบว่าสองสามีภรรยาคู่กรณี มีหมายจับในหลายท้องที่ จึงรู้ว่าถูกหลอกและไม่ได้เงินคืนอย่างแน่นอน จึงนำหลักฐานที่มีอยู่เข้าแจ้งความวันนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับ 2 สามีภรรยาดังกล่าวอย่างถึงที่สุด เพื่อต้องการเงินคืน และไม่ให้ไปก่อเหตุหลอกลวงชาวบ้านคนอื่นให้ได้รับความเดือดร้อนอีก อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีผู้เสียหายถูกหลอกในลักษณะเดียวกับตนหลายราย คาดว่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท 

ด้าน ร.ต.อ.วิรัตน์ วงค์สอน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ยางตลาด กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหายแล้ว จะรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

ที่มา:thairath