“ผมดูพี่แสงมณีมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะชกกับพี่เขา และเอาชนะระดับยอดมวยอย่างพี่แสงมณีมาได้”
นี่คือคำพูดจากใจของ ตะเภาแก้ว สิงห์มาวิน หรือนายอดิศักดิ์ ชูปาน ขุนเข่าดาวรุ่งที่มาแรงสุด ๆ ในชั่วโมงนี้ ด้วยวัยเพียง 18 ปี
จากเด็กน้อยที่ติดสอยห้อยตามเพื่อนแถวบ้านมาอยู่ค่ายใหญ่อย่าง “สิงห์มาวิน” ขึ้นชกกับใครก็ถูกมองว่าเป็นรองแทบทุกไฟต์ สู่การเดินหน้าไล่ปราบบรรดานักมวยดาวดังมากมาย โดยเฉพาะผลงานไฟต์ล่าสุด “ตะเภาแก้ว” สามารถคว้าชัยเหนือ “แสงมณี ส.กาแฟมวยไทย” ยอดมวยรุ่นพี่ไปแบบสนุก
เส้นทางของเขากว่าจะมาถึงวันนี้เป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้
ตามรอยพี่
อดิศักดิ์ ชูปาน เกิดที่ตำบลหนองธง อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง ครอบครัวของเขาประกอบอาชีพเกษตรกรสวนยาง
เขาเริ่มต้นชกมวยเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากการเห็นพี่ชายที่อายุมากกว่าตน 3 ปี อย่าง “ตะเภาทอง สิงห์มาวิน” ได้ออกไปตระเวนต่อยมวยภูธรในพื้นที่ภาคใต้อยู่บ่อยครั้ง และได้รับเงินค่าตัวกลับมาเป็นค่าขนม จึงอยากลองดูบ้าง
“ผมตามไปดูพี่ชายต่อยมวยตามงานวัด ตามเวทีต่าง ๆ ตลอด พอดูไปก็เริ่มซึบซับ ก็เลยขอเข้ามาซ้อมที่ค่ายจำป่าบอน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านตั้งแต่อายุ 9 ขวบครับ”
เด็กชายอดิศักดิ์ เลือกเดินตามรอยพี่ชายมาเป็นนักมวยและใช้ชื่อในการชกที่สอดคล้องกันนั่นคือ “ตะเภาแก้ว” ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะกำปั้นผู้น้องเริ่มฉายแววความเป็นยอดไอ้แอ้ด เขาสามารถกระชากเข็มขัดแชมป์ภาคใต้ รุ่น 36 กิโลกรัม มาครองได้ ทั้ง ๆ ที่ผ่านการชกมาไม่ถึง 20 ไฟต์ด้วยซ้ำ
ครอบครัวของเขาให้การสนับสนุนสองพี่น้องคู่นี้อย่างเต็มที่ แม้ว่าค่ายมวยจำป่าบอนจะอยู่ไกลจากบ้าน แต่พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ขัดข้องที่จะให้ “ตะเภาแก้ว” มากินนอนฝึกซ้อมอยู่ประจำที่ค่ายตั้งแต่เขาเรียนอยู่ชั้น ป.3
จากป่าบอนสู่ป่าคอนกรีต
สำหรับนักมวยภูธรตามต่างจังหวัด การได้รับโอกาสเข้าสู่ค่ายใหญ่ในเมืองกรุงย่อมเป็นความใฝ่ฝันและเป็นสิ่งที่นักชกดาวรุ่งทั้งหลายปรารถนา
ตะเภาทอง พี่ชายของเขาถูกซื้อตัวเข้ามาอยู่ที่ค่ายสิงห์มาวินล่วงหน้าก่อน 1 ปี ซึ่งในฐานะน้องชาย “ตะเภาแก้ว” รับรู้ได้ว่าพี่ของเขากำลังไปได้สวย เพราะที่ค่ายใหม่แห่งนี้มีการดูแลทุกด้านอย่างดี มีการฝึกซ้อมที่ถูกหลัก รวมถึงมีโอกาสได้ต่อยบนเวทีมาตรฐานง่ายขึ้นกว่าเดิม
นั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้ “ตะเภาแก้ว” พยายามพัฒนาตัวเองเพื่อที่สักวันหนึ่ง เขาอาจจะได้รับโอกาสแบบพี่ชายของเขา ตะเภาทอง สิงห์มาวิน
แล้วความตั้งใจของกำปั้นผู้น้องก็ไม่สูญเปล่า เมื่อทาง “ธัชนนท์ คชชาสุวรรณ” หัวหน้าค่ายสิงห์มาวินจัดการซื้อสิทธิ์ ซีอุย และ เพชรบ้านไร่ สองเพื่อนร่วมค่าย ก่อนที่ทางหัวหน้าค่ายจะพ่วง ตะเภาแก้ว แพ็คมาให้ด้วยอีกคนหนึ่ง
“ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนะ แต่ตอนนั้นผมคิดว่า เขาน่าจะสนใจ ซีอุย กับ เพชรบ้านไร่ มากกว่า เพราะสองคนนี้เป็นมวยที่มีชื่อมาก่อนผม แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับ คิดแค่ว่าเมื่อได้รับโอกาสให้มาอยู่กรุงเทพฯ ก็อยากมา”
“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมเจอกับการซ้อมที่เป็นระบบขึ้น แม้จะเหนื่อยบ้างแต่ผมก็ไม่เคยท้อเลยสักครั้ง เพราะค่ายดูแลผมเป็นอย่างดี อีกอย่างผมมีความฝันอยากเป็นแชมป์เวทีมาตรฐาน อยากเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จ จะมาท้อกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ครับ” ตะเภาแก้ว ที่ย้ายมาอยู่ค่ายสิงห์มาวิน ตั้งแต่อายุ 14 กล่าว
ความขยันบันดาลชัย
อย่างไรก็ดีการเข้ามาอยู่ค่ายใหญ่ในเมืองกรุงก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่านักมวยคนนั้นจะประสบความสำเร็จเสมอไป … เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีนักชกดาวรุ่งมากมายที่เก่งแค่ตอนสมัยต่อยอยู่ที่ต่างจังหวัด
แต่พอขยับมาชกบนเวทีมาตรฐาน ตะเภาแก้วกลับทำผลงานได้ไม่เปรี้ยงปร้างและไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ จนสุดท้ายต้องระเห็จกลับไปต่อยมวยภูธรล่าเดิมพันเหมือนเคย
ด้วยกระดูกประสบการณ์ที่ยังไม่แข็งมากนักเมื่อเทียบกับนักมวยในรุ่นน้ำหนักเดียวกัน บวกกับการเป็นมวยสไตล์เดียว เข่าเดินปล้ำตีไม่ได้มีอาวุธที่หลากหลายหรือมีจังหวะฝีมือแพรวพราว ทำให้ “ตะเภาแก้ว สิงห์มาวิน” เมื่อมาชกในเมืองกรุงจึงต้องลองชกตั้งแต่รุ่นน้ำหนัก 100 ปอนด์ต้น ๆ จนถึงปัจจุบัน 140 ปอนด์
เขาบอกกับเราว่า “ประกบเจอใครก็มักถูกมองว่าเป็นรอง สู้ไม่ได้แทบทุกไฟต์” แทบไม่เคยมีไฟต์ไหนที่ประกบคู่แล้วเขาดูเป็นต่อเลย
“เขามองว่าเราเป็นรองก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้กดดัน ผมชินแล้ว (หัวเราะ) แต่ผมรู้ตัวเองครับว่าทำอะไรอยู่”
“ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการซ้อมมาก รวมถึงการดูแลตัวเอง การพักผ่อน การกินอาหาร ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป เวลาขึ้นไปบนเวทีจริง เราก็คงไม่มีพละกำลังมากพอที่ไปตีเข่าใครได้ เขามองว่าเราเป็นรอง แต่ในใจเราเชื่อว่าเราสู้ได้ เพราะเราซ้อมมาดี”
อาจกล่าวได้ว่า ตะเภาแก้ว ไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่กำเนิด หากแต่สิ่งที่ทำให้เขาคว้าชัยชนะและประสบความสำเร็จได้ อาจมาจากพรแสวงและความขยันตั้งใจ
ดูได้จากสไตล์ที่เมื่อก่อนเขาเป็นมวยเข่าหน้าเดียว แต่ปัจจุบันเขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นขุนเข่าที่ใครก็กินยาก
แมตช์เปลี่ยนชีวิต
แมตช์แรกที่สร้างชื่อให้ ตะเภาแก้ว สิงห์มาวิน เริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองกรุง คือการเอาชนะ “สะแกงาม จิตรเมืองนนท์” ยอดไอ้แอ้ดแถวหน้ารุ่นราวคราวเดียวกัน
ก่อนเติบโตขึ้นชั้นและเอาชนะนักชกรุ่นพี่มาได้หลายต่อหลายราย อาทิ นักรบ แฟร์เท็กซ์, โลโบ้ ภูเก็ตไฟต์คลับ, ธีรเดช ช.ห้าพยัคฆ์, ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ และ เฟอร์รารี่ แฟร์เท็กซ์
ทำให้ “ตะเภาแก้ว สิงห์มาวิน” นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนลาดปลาเค้าพิทยาคม ถูกประกบมาดวลกับ “แสงมณี ส.กาแฟมวยไทย” ในศึกมวยไทยรายการใหญ่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อช่วงปลายปี 2564
“ผมดูพี่แสงมณีมานานแล้วครับตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนผมต่อยคู่แรกหรือมีเพื่อนที่ค่ายสิงห์มาวินต่อยคู่แรก ผมก็จะตามไปที่เวที ถ้าวันนั้นแสงมณีขึ้นคู่เอก ผมก็จะมาเกาะขอบเวทีดูตลอด พี่เขาเป็นนักมวยที่เก่งระดับยอดมวย ออกอาวุธได้แน่นดีครับ”
“พอถูกประกบให้มาเจอกันก็รู้สึกดีใจครับ แต่คิดว่าสู้ได้ เพราะเราซ้อมมาเต็มที่เหมือนกัน ตั้งแต่รู้ว่ามีรายการแข่งขันนี้ก็ไม่ได้กลับบ้านเลย ซ้อมอย่างเดียว เพราะถ้าผ่านพี่แสงมณีไปได้ ผมก็จะได้ขึ้นไปอีกระดับ”
เกมการชกบนเวทีไฟต์นั้น แสงมณี ใช้จังหวะฝีมือสาดแข้งซ้ายและลูกเก๋าประสบการณ์เล่นงานรุ่นน้อง แต่ ตะเภาแก้ว ก็ไม่เปิดช่องไฟให้แข้งแสงมณีได้ทำงานถนัด พยายามเดินบี้ติดตัวชวนเล่นเกมวงใน ก่อนจะเอาชนะคว้าชัยไปได้ กลายเป็นแมตช์ที่เปลี่ยนชีวิตของ ตะเภาแก้ว สิงห์มาวิน ที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักเขา
อนาคตต่อจากนี้ ตะเภาแก้ว ตั้งเป้าหมายอยากได้เข็มขัดมาครองประดับเกียรติยศสักเส้น เพราะที่ผ่านมาเคยมีโอกาสชิง 2-3 หนแต่พลาดไปหมด และถ้ามีโอกาสก็อยากจะโกอินเตอร์ไปต่อยที่ต่างประเทศในสังเวียนระดับโลก แต่กว่าถึงจุดนั้นเขาได้ยืนยันกับเราว่าจะตั้งใจฝึกซ้อมอย่างเต็มที่เหมือนที่เคยเป็นมา
เพราะเขายังเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า สักวันหนึ่งความขยัน ตั้งใจ และพยายามของเขา จะนำเขาไปสู่โอกาสดี ๆ ต่อไปในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก MAIN STAND