เมื่อวันที่ 20 ม.ค.65 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้กิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง

เช่น เนอร์สซิ่งโฮม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีผู้ฉวยโอกาศหวังที่จะหารายได้

โดยไม่คำนึ่งถึงความถูกต้อง และที่เลวร้ายที่สุด “ไม่สนแม้แต่สิทธิมนุษยชน” สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ไม่สมควรถูกหน่วงเหนียวกักขัง

หรือถูกพรากสิทธิและเสรีภาพไป เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้าย ทารุณ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ดังเช่นกรณีเมื่อวันที่ 19 ม.ค.65 เจ้าหน้าที่ เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง หลังมีการร้องเรียนว่าลักลอบเปิดเป็นสถานที่ดูแลผู้สูงอายุโดยไม่ได้รับอนุญาต พบการดูแลและสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้มาตราฐานอีกทั้งพบว่ามีการล่ามโซ่กับผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้

กรณีดังกล่าว สถานที่ดูแลผู้สูงอายุถือเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ตาม พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มาตรา 3(3) ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตให้เปิดกิจการ

หากประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท

อีกทั้งการล่ามโซ่ผู้สูงอายุ เป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร จึงให้ ตร.ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการ โดยให้ประสานงานกับหน่วยร่วมปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุข

ในการออกตรวจตราและสร้างการรับรู้ให้กับสถานประกอบกิจการและประชาชนทราบ ทั้งนี้หากตรวจพบการกระทำความผิดให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์การเลือกใช้บริการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ 1.หากมีความจำเป็นจะต้องพาผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงไปฝากดูแล ควรเลือกที่มีมาตราฐานทั้งด้านสถานที่และการบริการ ที่ได้รับใบอนุญาตให้เปิดกิจการอย่างถูกต้อง 2.ในส่วนของผู้ดำเนินการ ผู้ให้บริการ

หรือพนักงานทุกคนต้องผ่านการอบรม ผ่านการสอบ มีใบอนุญาตจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข และมีการลงทะเบียนเป็นผู้ให้บริการก่อนปฏิบัติงาน

3.หากผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ได้รับความเสียหาย ญาติหรือผู้แทนโดยชอบทำหรือผู้อนุบาล สามารถรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา khaosod