โรงพยาบาลนำหลักฐานแจงยิบ กรณีหนุ่มอ้าง เมียคลอดลูกแฝด แต่เสียชีวิต 1 คน แต่สุดท้ายศพหาย ขณะที่ลูกอีกคน โรงพยาบาลบอกไม่มี
เวลา 13.30 น. วันที่ 21 พ.ค. 64 ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ชั้น 10 ตึกอำนวยการ นายนพฤทธิ์ ศิริโกศล รอง ผจว.สุพรรณบุรี นพ.พงษ์นรินทร์ ชาติรังสรรค์ ผอ.รพ.เจ้าพระยายมราช นพ.อนุพันธ์ หวลบุตตา รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ จัดแถลงข่าว กรณีที่นายเกรียงไกร สุภีทรัพย์ อายุ 30 ปี และ น.ส.กรกนก เพิ่มหิรัญ อายุ 21 ปี ซึ่งมาทวงศพของลูกชายที่เสียชีวิต โดยอ้างว่า เพิ่งคลอดลูกแฝดชาย หญิง เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ รพ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี แต่เด็กน้ำหนักตัวเบาเพียง 1.2 กก. จึงส่งตัวเด็กทั้งคู่ มาเข้าตู้อบรักษาต่อที่ รพ.เจ้าพระยายมราช และวันที่ 18 พ.ค. ทาง รพ. แจ้งว่าเด็กเพศชาย ได้เสียชีวิตแล้ว จากนั้นช่วงเย็นวันที่ 20 พ.ค. แม่เด็กจึงได้มารับศพของบุตรชาย และนำกลับไปที่วัดสวนแตง อ.เมืองสุพรรณบุรี เพื่อฌาปนกิจศพ แต่เมื่อเปิดผ้าที่ห่อตัวเด็กออก กลับไม่มีร่างของเด็กมีเพียงผ้า 4 ผืน มัดเป็นก้อน จากนั้นจึงเดินทางกลับมาที่โรงพยาบาล เพื่อตามหาร่างของลูกชาย โดยทางครอบครัว ได้มีการแจ้งความไว้ที่ สภ.เมือง
ด้าน ร.ต.อ.กาฬสิน ปากวิเศษ รอง สารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งได้รับแจ้งความเมื่อเวลา 19.40 น. ของวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้แจ้งระบุว่า แม้ผู้แจ้งยังติดใจสาเหตุแห่งการตาย แต่ประสงค์ที่จะนำศพบุตรของตนมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี และอ้างว่าได้มีการประสานจะชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 500,000 บาท จากทาง รพ.เจ้าพระยายมราช จึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อ ที่จะประสานกับทาง รพ.ต่อไป
ต่อมา น.ส.กรกนก รวมถึงญาติ กว่า 10 คน ได้นำโลงศพขึ้นท้ายรถยนต์กระบะ ไปจอดที่ข้างโรงพยาบาล เพื่อเรียกร้องติดตามร่างของเด็กชายที่เสียชีวิตแล้วหายไป โดยมีการไลฟ์สดไปด้วย จนมีการแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้เชิญพ่อแม่เด็กมาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยัง รพ.บางปลาม้า ซึ่งได้รับการยืนยันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการรับทำคลอด และไม่มีการทำเรื่องส่งตัวเด็กมารักษาต่อที่ รพ.เจ้าพระยายมราช และทาง รพ. ก็ไม่มีประวัติการรับผู้ป่วย หรือประวัติการรักษาแต่อย่างใด
จากนั้นทาง รพ.เจ้าพระยายมราช ได้ให้พ่อแม่เด็กไปดูกล้องวงจรปิด ในช่วงเวลาที่กล่าวอ้างว่ามารับร่างเด็ก แต่ก็ไม่พบภาพของแม่ที่กล่าวอ้างว่าขึ้นไปรับศพลูกที่แผนกกุมารเวช ชั้น 3 ของโรงพยาบาล มีเพียงภาพรถของพ่อเด็กที่ขับรถวนเข้ามาในโรงพยาบาล เนื่องจากระบุว่า มารับภรรยาที่อุ้มร่างของลูกมารออยู่ที่ประตูทางออก
ส่วนที่แม่เด็กอ้างว่า ยังมีลูกสาวคู่แฝดอีกคนอยู่ที่ห้องเด็กนั้น เบื้องต้น ไม่มีรายชื่อเด็กคนดังกล่าวอยู่ในห้องแต่อย่างใด ส่วนรูปที่ทางแม่อ้างว่า ได้ให้พยาบาลเอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปถ่ายรูปมาให้นั้น จากการตรวจสอบพบว่า เป็นรูปที่ก๊อปปี้มาจากอินเตอร์เน็ต
ด้าน นายเกรียงไกร กล่าวว่า แฟนของตน คลอดลูกเป็นฝาแฝด ชายหญิงเมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ รพ.บางปลาม้า พอคลอดออกมา เนื่องจากน้ำหนักตัวเด็ก หนักเพียง 1.2 กก. ทางโรงพยาบาลจึงได้ส่งตัวคู่แฝดมาอบรักษาตัวต่อที่ รพ.เจ้าพระยายมราช จากนั้นทาง รพ. โทรมาแจ้งว่าลูกหัวใจเต้นผิดจังหวะ และมาโทรมาแจ้งอีกครั้งว่าติดเชื้อในกระแสเลือด และได้เสียชีวิตแล้ว จึงมารับศพออกไปตอน 4 โมงเย็น
ทีแรกคุยกับหมอไว้ว่าจะให้รถโรงพยาบาลไปส่งที่วัด เพราะกลัวเรื่องโควิด แต่ตอน 15.30 น. โรงพยาบาลโทรมาบอกว่า ไม่มีรถ ก็เลยรีบออกมารับศพ ตอนมาถึงแฟนก็ขึ้นไปบนตึก ส่วนตัวเองรออยู่ในรถกับหลวงพ่อ เพราะต้องรอผูกสายสิญจน์ โดยแฟนบอกว่า ตอนรับลูกมาทางเจ้าหน้าที่บอกไม่ให้เปิดศพ และไม่มีการออกใบมรณบัตรอะไรให้ จากนั้นจึงอุ้มศพลูก ที่ห่อด้วยผ้าเอาไว้ลงมา
แต่พอมาถึงวัดสวนแตง หลวงพ่อบอกให้แกะผ้าห่อศพออกเพื่อจะเอาสายสิญจน์ผู้ข้อมือเด็ก เนื่องจากผูกที่ห่อผ้าไม่ได้ จะทำให้เด็กร้อน จึงแกะผ้าออก พอเปิดผ้ามาก็ไม่มีร่างของลูกชาย มีเพียงผ้า 4 ผืนที่มัดกันเป็นก้อน ส่วนลูกสาวฝาแฝดอีกคนก็ยังรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 3 ใน รพ. ตอนนี้อยากได้ลูกคืนมา
ด้าน นพ.อนุพันธ์ หวลบุตตา รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติการเข้าการรักษาและคลอดลูก ได้ตรวจสอบไปที่ รพ.บางปลาม้าแล้ว พบว่า วันที่ 10 พ.ค. ทาง น.ส.กรกนก ได้เดินทางเข้ามารักษาที่ รพ.บางปลาม้า ด้วยอาการปวดท้อง ตกขาว และกระดูกอุ้งเชิงกรานอักเสบ แต่ไม่มีประวัติการฝากท้อง และมาคลอดบุตรแฝด และในวันที่ 11 พ.ค. ที่แจ้งว่าไปคลอดลูก ในวันนั้นก็ไม่การทำคลอด และไม่มีเอกสารการติดต่อส่งตัวตัวเด็กเพื่อมารับการรักษาต่อที่ รพ.เจ้าพระยายมราช และ ที่ รพ.เจ้าพระยายมราช ก็ไม่มีการรับรักษาเด็ก ซึ่งหากการที่แม่กล่าวอ้างเด็กตาย มารับศพที่ชั้น 3 ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตามระเบียบต้องมารับศพที่ห้องปลายฟ้า ซึ่งก็ไม่พบการมารับศพแต่อย่างใด
รวมถึงภาพบางอย่างที่มีการกล่าวอ้าง พบว่าเป็นภาพที่มีในกูเกิล และการส่งตัวมารักษาต่อนั้น ตามระเบียบต้องมีการส่งเอกสาร การตรวจของแพทย์จาก รพ.ต้นทาง มาให้ก่อน และก่อนมาก็ต้องมีการโทรผ่านระบบการส่งต่อเพื่อทาง รพ.ปลายทางจะได้ประสานแพทย์ จากนั้นจึงจะแจ้งให้ทาง รพ.ต้นทางนำรถ รพ. มาส่งโดยต้องมี ญาติมาด้วย ในเหตุฉุกเฉิน และก็จะมีการลงบันทึกในระบบเวชทะเบียนเพื่อบันทึกหลักฐานเก็บไว้
ด้าน นายแพทย์วรท สัตยาวุฒิพงศ์ แพทย์ รพ.บางปลาม้า เจ้าของไข้ ยืนยันว่าผู้หญิงที่อ้างเป็นแม่เด็ก เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลบางปลาม้าจริง ในวันที่10 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เป็นการรักษาอาการติดเชื้อในท่อปัสสาวะ หรืออาการ ตกขาว และอาการอุ้งเชิงกรานอักเสบ จึงให้ยาฆ่าเชื้อพร้อมกับตรวจปัสสาวะว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ก็พบว่าไม่มีการตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตรมาก่อน จึงให้คนไข้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน
ก่อนที่ วันที่ 11 พ.ค. หญิงคนดังกล่าวจะกลับมาอีกด้วยอาการเดิม จึงให้แอดมิดนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการจนถึงวันที่ 14 พ.ค. ก็ให้กลับบ้านไป ยืนยันว่าไม่มีการฝากครรภ์ หรือ คลอดที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และประกอบกับช่วงนี้สถานการณ์โควิด 19 ห้องคลอดโรงพยาบาลปิด และยิ่งเป็นครรภ์แฝดทางโรงพยาบาลเป็นเพียงโรงพยาบาลศูนย์จะไม่รับคลอดครรภ์แฝด ตรงกับข้อมูลของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ที่ไม่พบการส่งต่อผู้ป่วยและเด็กแรกคลอดมาทำการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. และจากวงจรปิดก็ไม่พบว่ามีรถพยาบาลโรงพยาบาลบางปลาม้าเข้ามาในโรงพยาบาลแต่อย่างใดAds by optAd360
ส่วนที่พ่อแม่เด็กอ้างว่าได้มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโทรศัพท์ติดต่อให้มารับศพนั้นทางโรงพยาบาลได้นำเบอร์ดังกล่าวมาโทรศัพท์กลับไปพบเป็นเบอร์ของบริษัทสื่อสารแห่งหนึ่ง(ทีโอที) ส่วนอีกเบอร์ซึ่งเป็นเบอร์มือถือก็ไม่มีคนรับสาย
ซึ่งหลักการในการรับศพ จะไม่มีการโทรศัพท์แจ้งหลังผู้ป่วยเสียชีวิต แต่จะมีการแจ้งก่อนทุกครั้ง และขั้นตอนการรับศพนั้น ญาติผู้เสียชีวิตจะต้องเอาเอกสารมาส่งที่ห้องเก็บศพติดต่อรับศพ ไม่ใช่ติดต่อที่แผนกเด็กทารกแรกเกิดตามที่แม่เด็กอ้าง ซึ่งจากการตรวจสอบวงจรปิดก็ไม่พบแม่เด็กขึ้นไปบนชั้น 3 ของโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ที่รับผิดชอบก็ไม่พบเด็กแฝด ชายหญิงมานอนรักษาตัวที่แผนกตามที่ถูกกล่าวอ้าง ส่วนเรื่องการจ่ายเงิน 5 แสนบาท ที่พ่อแม่เด็กกล่าวอ้างนั้น ก็ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ทำอะไรผิด
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ระบุว่า กรณีนี้ยังไม่เข้าใจเหตุผลว่าทั้งคู่ต้องการอะไรจากการเรียกร้อง ซึ่งหากมีอาการป่วยจิตเวช ก็อยากรักษาอาการ โดยต้องมีการตรวจจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะการกระทำดังกล่าวทำให้วิชาชีพแพทย์เสียหาย และจะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย ซึ่งจะให้ตำรวจดำเนินการไป
ที่มา:thairath