เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวในงานสัมมนาวิชาการอีอีซี ประมาณการเศรษฐกิจระยะสั้น และอีก 5 ปีข้างหน้า ผ่านระบบทางไกลเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ทำให้รายได้ของประเทศหายไปสูงกว่า 2.2 ล้านล้านบาท และเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยประมาณการเศรษฐกิจไทยหลังโควิด จะขยายตัวต่ำกว่า 2% ต่ำกว่าช่วงปกติก่อนโควิดประมาณการไว้เพียง 3-4% เป็นเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น การจัดทำแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับ 13 (พ.ศ.2566-2570) เพื่อผลักดันเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติก่อนโควิด แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเพื่อให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ต้องการให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวจาก 2.5% เป็น 4.5% จำเป็นต้องเกิดการลงทุนเพิ่มปีละ 6 แสนล้านบาท มีข้อจำกัดแหล่งเงินในการสนับสนุนลงทุนในประเทศ และภาครัฐ ไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีก จึงจำเป็นต้องพิจารณาแหล่งเงินอื่น อาทิ สภาพคล่องส่วนเกินที่มีในระบบ และการเร่งดึงเงินลงทุนจากภาคเอกชน และต่างประเทศ โดยเงินลงทุนในระยะยาวของประเทศต้องดำเนินการอย่างมีระบบในพื้นที่เป้าหมายที่มีศักยภาพ และจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน

นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า คลังจัดทำแผนนโยบายการคลังในระยะกลาง ครอบคลุมระยะรวม 4 ปี (2565-2568) ยังคงบทบาทในการดูแลเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง การระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในปี 2564-2565 ด้านรายได้ของกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าขณะนี้สถานะทางการคลังของไทยยังแข็งแกร่ง เนื่องจากตัวเลขหนี้สาธารณะของไทย เป็นส่วนสะท้อนสถานะทางการคลังของประเทศได้ดีนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 54% ต่อจีดีพี แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้ตรง อยู่ที่ 47% เท่านั้น หากเข้าไปดูในรายละเอียดจะเห็นความมั่นคงของฐานะการคลังมากขึ้น เนื่องจากหนี้กว่า 85% เป็นหนี้ระยะยาวเกิน 1 ปี อายุเฉลี่ยหนี้ของรัฐบาลอยู่ที่ 10 ปี และหนี้กว่า 98% เป็นหนี้ในสกุลเงินบาท หรือการก่อหนี้ในประเทศ

นายพิสิทธิ์กล่าวว่า มองในรูปแบบสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยต่อจีดีพี อาจมีความกังวลว่าปัจจุบันอยู่ในระดับสูงกว่า 54% แต่หากมองในอดีตที่ผ่านมา ปี 2543 หนี้สาธารณะไทยเคยขึ้นไปอยู่ที่ 59% เกือบแตะที่ 60% ต่อจีดีพี แต่หลังจากปี 2543 มูลค่าสาธารณะก็ทยอยปรับลดลง ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังจากเกิดวิกฤตปี 2540 ขึ้น จึงเชื่อว่าหากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้ ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะปรับลดลงได้ โดยในแผนนโยบายการคลังระยะปานกลาง ได้วางแผนดูแลในเรื่องการปรับโครงสร้างทางภาษี ไม่ได้เน้นในการเก็บรายได้เท่านั้น แต่เป็นการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน การเตรียมพร้อมรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล สร้างความเป็นธรรมโปร่งใสให้กับการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญที่วางแผนดำเนินการไว้

“เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพในการฟื้นตัวสูง หลังจากการระบาดโควิด-19 คลี่คลายตัวลง เนื่องจากตัวเลขในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก่อนการแพร่ระบาด ระลอก 3 มีการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศขยายตัว 80% รายได้ขยายตัว 30% และเห็นภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจฟื้นตัวกว่า 10 ประเภท อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ยานยนต์ การผลิตผลไม้ ทำให้มองในระยะถัดไป หากรัฐบาลสามารถควบคุมการระบาดโควิดระลอก 3 ได้เร็ว คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว จีดีพีไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้” นายพิสิทธิ์กล่าว

นายพิสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับ พ.ร.ก.เงินกู้ 7 แสนล้านบาท จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะปรับขึ้นนั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความยั่งยืนของการคลังในระยะปานกลาง เพราะประเทศยังจำเป็นต้องมีหนี้สาธารณะระดับไม่น้อยกว่า 30% ต่อจีดีพี เพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาดพันธบัตร (บอนด์) เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และสร้างเสถียรภาพด้านการเงิน รวมถึงเงินกู้ก้อน 7 แสนล้านบาท ถือเป็นมาตรการการคลังต้องเตรียมพร้อมเม็ดเงินไว้เพื่อดูแลเศรษฐกิจ และการเตรียมความพร้อมในการใช้ดำเนินนโยบายต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 เป็นช่วงเศรษฐกิจรอการฟื้นตัว หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลาย จึงยังจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความคืบหน้าการใช้จ่ายเงินโครงการที่ใช้เงินงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว 6.5 แสนล้านบาท เหลือเม็ดเงินยังไม่ได้ถูกเบิกจ่าย ใช้ได้จนถึงสิ้นปีนี้ อยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถช่วยดูแลเศรษฐกิจระยะถัดไปได้ กระทรวงการคลังทำประมาณการเศรษฐกิจไว้ว่าทั้งปี 2564 จีดีพีจะโตได้ 2.3% พิจารณามาจากการใช้เงินก้อน 1 ล้านล้านบาท ต้องใช้จ่ายให้ได้ 95% หรือ 9.5 แสนล้านบาท ทำให้เงินที่เหลือในก้อน 1 ล้านล้านบาท หากใช้ไม่หมดในปีงบประมาณที่กู้ ก็สามารถใช้ต่อได้จนถึงปี 2565

วันเดียวกัน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 24 พค.ที่ผ่านมาว่าจากการประเมินอัตราการว่างงานในช่วงไตรมาสที่ 1/2564 พบว่ามีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 7.6 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.96% สูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากโควิดที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนการจ้างงานในช่วงไตรมาสที่ 1/2564 พบว่ามีการขยายตัวเล็กน้อย หรือเพิ่มขึ้น 0.4% จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในภาคเกษตรตามภาวะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวยังหดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

นายดนุชากล่าวว่า ขณะที่จำนวนชั่วโมงการทำงานรวมอยู่ที่ 40.1 ชั่วโมง/สัปดาห์ ลดลง 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 การทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 129.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ทั้งนี้ จากภาพรวมที่ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานลดลง สะท้อนการจ้างงานและการทำงานที่ไม่เต็มเวลา ซึ่งจะทำให้แรงงานมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน

นายดนุชากล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตำแหน่งงานอาจไม่เพียงพอรองรับเด็กจบใหม่ เนื่องจากภาคธุรกิจได้รับผลกระทบต่อเนื่อง อาจไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะจ้างแรงงานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อการจ้างงานของเด็กจบใหม่กว่า 4.9 ล้านคน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างเตรียมแนวทางในการช่วยเหลือในประเด็นนี้แล้ว ส่วนการประเมินหนี้ครัวเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4/2563 พบว่าหนี้ครัวเรือนมีมูลค่า 14.02 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนมีการขยายตัวในอัตราที่ช้าลงสะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนยังระมัดระวังในการก่อหนี้

“อีกเรื่องที่สำคัญและอยากเน้นย้ำคือ การฉีดวัคซีนที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ไทยรอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้ได้ และจะเป็นเครื่องมือสำคัญทางเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจในประเทศกลับมาฟื้นตัวอยู่ได้ในระดับปกติหลังจากที่ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันหมู่ตามที่ตั้งเป้าไว้” นายดนุชากล่าว

ที่มา MATICHON