‘พล.ต.ต.ปวีณ’ เปิดใจครั้งแรก! ยัน ‘โรม’ พูดความจริง ถ้าสืบสวนต่อถึงปลาใหญ่หลายตัวแน่นอน “รังสิมันต์” เปิดใจหลังไม่ถอนคำว่า อำมหิต

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 ก.พ.65 ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ร่วมกันแถลง “กว่าจะเป็นตั๋วช้างภาค2” หลังเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ในอภิปรายที่เรียกว่า ตั๋วช้างภาค 2 “ตำรวจเลวได้ดี ตำรวจดีต้องลี้ภัย” กับเรื่องราวของ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ที่ต้องลี้ภัยออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2558 พร้อมกันนี้ได้วิดีโอคอลไปหาพล.ต.ต.ปวีณ

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจของพรรคก้าวไกลที่จะต้องทวงถาม และใช้ทุกกลไกที่เรามีเดินหน้าทลายขบวนการการค้ามนุษย์ เพื่อเอาพยานหลักฐาน ข้อมูลที่พล.ต.ต.ปวีณ รวบรวมเอาไว้ถึง 270,000 แผ่นกระดาษ เพื่อไม่ให้ขบวนการแบบนี้เกิดขึ้น ขบวนการแบบนี้ไม่ใช่แค่กัดกินคนที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ขบวนการแบบนี้คือการทำให้ระบบราชการ คนดีจำนวนมากไม่มีที่ยืนในสังคม ยืนยันภารกิจนี้เราไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับข้าราชการน้ำดี แต่เรากำลังเป็นศัตรูกับคนชั่ว ข้าราชการที่ต้องการแสวงหาประโยชน์เข้าสู่ตัวเอง ตนมองว่ากรณีของพล.ต.ต.ปวีณ เป็นจุดที่เราเห็นว่าประเทศไทยมาถึงจุดวิกฤต สังคมที่แม้คนจะทำงานดีที่สุดไม่โกงกินก็อยู่ไม่ได้

“ยืนยันพรรคก้าวไกลอยากเห็นพล.ต.ต.ปวีณ กลับมาไทยอย่างปลอดภัย อยากเห็นการทลายเครือข่ายค้ามนุษย์ การขยายผลที่มากไปกว่าพล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ที่ถูกจำคุกคดีค้ามนุษย์โรงฮิงญา อยากเห็นคนที่อยู่ในทำเนียบปัจจุบันนี้ต้องรับผิดชอบกับความอยุติธรรม” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ยอมออกจากห้องประชุมสภาหลังไม่ยอมถอนคำพูดว่า อำมหิต ที่ได้ใช้กับนายกฯว่า ยังยืนยัน ก็ไม่เข้าใจว่าการใช้คำว่า อำมหิต จะผิดตรงไหน ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ การค้ามนุษย์เกิดขึ้น ตนนำข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างไรต่อการที่พล.ต.ต.ปวีณต้องลี้ภัย และการค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่เกิดคือพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถาม แม้ยังอยู่บนที่นั่งในห้องประชุม แล้วยังขออนุญาตประธานสภาออกห้องไปแบบไม่ตอบคำถาม ตนเลยรู้สึกว่าการค้ามนุษย์ร้ายแรง แล้วทำไมพล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นนายกฯถึงไม่ตอบคำถามนี้ราวกลับส่งสัญญาณว่าการค้ามนุษย์ การมีเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้องเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย และยิ่งได้เห็นภาพที่ชาวโรฮิงยากินใบไม้เพื่อประทังชีวิต โดยส่วนตัวเองนั้นรับไม่ได้ เลยไม่รู้จะใช้ไหนเลยใช้คำว่า ใจดำ อำมหิต

ด้านพล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า วันนี้วันที่ตนมีความสุข เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ติดอยู่ในใจ มันเครียด กลัวนับจากที่ตนออกจากประเทศไทย จากการที่ตนปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รัฐบาล รวมทั้งผู้มีอำนาจ เพราะเรื่องราวทั้งหมดได้รับการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ให้คนได้รับทราบในการอภิปรายจากนายรังสิมันต์ ขอยืนยันว่าคือความจริงที่เกิดขึ้นจริง

ถึงวันนี้ตนถือว่าได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่วันนั้น ถ้าประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตย มีรัฐบาลที่ตรงไปตรงมา มีนายกฯ และผู้บริหารทุกระดับที่อยากให้ประเทศไทย เราใสสะอาด มีความซื่อสัตย์ กล้าหาญให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรม และสุดทาง ชีวิตราชการของตนที่เหลืออยู่ถึง 3 ปี ประกอบกับความรู้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวน มั่นใจว่าจะสามารถสาวไปถึงปลาตัวใหญ่ได้อีกหลายตัวอย่างแน่นอน

พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า ยืนยันการที่คนโรฮิงยาเข้ามาไม่ใช่คนเดียว ตนเองกว่าจะเดินทางเข้าประเทศออสเตรเลียได้ยังถูกสอบสวนแบบละเอียด ไม่ว่าคุณจะเป็นใครต้องทำตามกฎเขา ประเทศนี้ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน สิทธิเท่าเทียมกันหมด ต้องยึดกฎ เช่นกันทุกประเทศต้องมีมาตรฐาน ประเทศไทยในเมื่อประกาศตัวเป็นประเทศที่มีมาตรฐานก็จะต้องทำให้ไม่ด้อยกว่าออสเตรเลีย คือใครก็แล้วแต่ที่ก้าวล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทยต้องถูกสกรีน แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยปละละเลย ซึ่งการปล่อยปละละเลยนั้นก็ต้องมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนนั่นคือผลประโยชน์ ส่วย พอเงินนี้เข้ามาจำนวนมากๆก็ขนคนได้อย่างสะดวกสบาย ทำกันเป็นอุตสาหกรรมขนคนไปขาย ดังนั้นตนจึงกล้าพูดว่าถ้าสอบสวนไปแน่นอนปลาตัวใหญ่ๆจะต้องมาอีกเยอะ

ที่มา khaosod