26 ก.พ. 2565 – นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำมันพืชเพื่อการบริโภค พบว่าอยู่ในภาวะสต็อกเริ่มตึงตัว และราคาปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อราคาขายส่งขายปลีกน้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อใช้ในครัวเรือนมีราคาสูงขึ้น
โดยราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวด (1 ลิตร) เกิน 60 บาท และบางพื้นที่สูงถึง 70 บาท ขณะที่ราคาถั่วเหลืองเริ่มเกิน 55 บาท และบางพื้นที่สูงถึง 58-59 บาทแล้วหรือปรับขึ้นประมาณ 10% ต่อขวด ซึ่งเป็นราคาที่ขยับต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จึงทำให้ขณะนี้โมเดิร์นเทรดใช้การจำกัดจำนวนการซื้อไม่เกิน 2-6 ขวดต่อครอบครัว
“ตอนนี้น้ำมันถั่วเหลืองอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น สาเหตุสะสมมาตั้งแต่การที่ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและจำนวนวางขายในตลาดลดลง ทำให้ประชาชนหรือพ่อค้ารายย่อยเปลี่ยนไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองที่มีราคาถูกกว่าแทน แต่เมื่อสถานการณ์ราคาปาล์มยังสูง สต็อกปาล์มไม่ได้เพิ่มมาก และจิตวิทยาจากสถานการณ์การโจมตียูเครนของสหรัฐ อาจกระทบต่อปริมาณถั่วเหลืองโลกลดลง ซึ่งไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลือง เพื่อสกัดเป็นน้ำมันและเป็นส่วนผสมหนึ่งในอาหารสัตว์”
อย่างไรก็ตาม อยากตั้งข้อสังเกตและให้ภาครัฐ ตรวจสอบว่ามีการบิดเบือนตลาดทั้งในแง่กักตุนวัตถุดิบ กักตุนสินค้า เพื่อเก็งกำไรและปั่นราคาตลาดให้สูงเกินความเป็นจริงหรือไม่ หากปล่อยไปอย่างนี้ ไม่นานจะเกิดวงจรสินค้าขาดราคาแพง อยากให้ป้องกันก่อนเกิดปัญหา
ทั้งนี้ได้มีผู้ผลิตในหลายสินค้า แจ้งการปรับเพิ่มราคาขายส่งแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. เช่นเหล้า-เบียร์ ขึ้น 20-30 บาทต่อลัง บางยี่ห้อขึ้นขวดละ 5 บาท เช่น เบียร์จากขวดละ 65 บาท เป็น 70 บาท เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อยอดนิยมขอปรับ 2 บาทต่อขวด หรือ ปรับจาก 10 บาท เป็น 12 บาท หรือปรับขึ้นถึง 20% เริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค. เป็นต้นไป
ที่มา khaosod