เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันที่สอง เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้านได้อภิปรายการจัดทำงบประมาณอย่างดุเดือดเข้มข้ม โดย นางมนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า รัฐบาลวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไว้ 6 ด้าน ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งล้มเหลวอยู่ในความฝัน ไม่สนใจปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชน งบประมาณที่ส่งให้สภาพิจารณาไม่ได้ตอบโจทย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องโควิด-19 โดยงบประมาณปี 65 ที่ดูแลกลุ่มเปราะบางทางสังคมและผู้ด้อยโอกาส ไม่ได้รับความคุ้มครอง ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ทั่วถึงและเป็นธรรม จากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 จะมีคนจนเพิ่มขึ้นถึง 11 ล้านคน และมีคนตกงานจำนวนมาก ดังนั้นต้องมาเอกซเรย์ว่ามาตรการต่างๆ ของรัฐเข้าถึงประชาชนหรือไม่ ทั้งแอพพลิเคชั่นเราไม่ทิ้งกัน เราชนะ หมอพร้อม เป๋าตัง

พท.ซัดจัดงบหลงยุคสงคราม
จากนั้นนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรค พท.อภิปรายว่า ไม่เห็นด้วยกับการจัดงบประมาณครั้งนี้เพราะไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ดูได้จากงบประมาณของกระทรางกลาโหมบอกว่าลดแต่ลดไม่จริง เพราะลดในส่วนที่ไม่ควรลด แต่กลับไปลดงบกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) การที่อ้างว่างบ สธ.ไม่ได้ลด เพราะสามารถไปใช้งบในกองทุนต่างๆ นั้นไม่จริง เพราะงบของกองทุนต่างๆ ลดลงเหมือนกัน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายกฯมาอวดว่าจัดงบลดลงกว่าแสนล้านบาท แต่กู้เงิน 5 แสนล้านบาท แบบนี้รับไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องลดลงได้ เห็นว่าควรตัดงบที่ไม่จำเป็นไม่ใช่ภารกิจหลักของทหารออกไปเพราะภารกิจหลักของทหารคือป้องกันประเทศ ดังนั้นภารกิจอื่นควรโอนไปให้พลเรือนดำเนินการ แม้แต่รายการปรับปรุงอาคารสถานที่ก็ควรตัดออกไป รวมทั้งการลดบุคลากรของกองทัพด้วยในอนาคตประมาณ 10 ปี ถ้าบุคลากรหน่วยราชการไม่ลดลง จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ จำนวน 8 แสนล้านบาทต่อปี และงบของกองทัพอะไรที่เริ่มใหม่ในงบปี 65 ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้ตัดไปช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 ทั้งหมด

ด้านนายเกษม อุประ ส.ส.สกลนคร พรรค พท. อภิปรายว่า รู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังกับการจัดงบประมาณครั้งนี้ เพราะเหมือนหลงยุคไปยุคสงครามโลกทั้งที่ยุคนี้คือสงครามไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนอย่างมาก เป็นการจัดงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์หรือสอดคล้องกับสถานการณ์ อีกทั้งการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโควิดผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น จนทำให้เกิดการลุกลามในระลอก 2 และ 3 ต้องขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์และทุกภาคส่วนที่ออกมาช่วยกันแก้ไขจนทำให้โควิดซาลงไปได้

พิสิฐ จวกกู้มาเพิ่มแหล่งทุน
ต่อมานายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า ขณะนี้เรากำลังประสบกับภาวะวิกฤตงบประมาณ ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 มาตรา 20 ระบุชัดเกี่ยวกับการขาดดุลและงบลงทุน ทำผิดข้อนี้ แม้จะบอกว่าได้แก้ไขโดยมีการบอกกล่าวแล้วก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบงบประมาณขณะนี้เข้าสู่จุดบอดที่จะมีปัญหากำลังชนเพดาน เพราะปัญหาเรื่องของโควิด ไม่ได้โทษรัฐบาล หรือมาตำหนิรัฐบาล เพียงแต่อยากให้ดูแลระบบงบประมาณให้ดี จะได้เป็นเครื่องมือสำคัญของประเทศ

“เป็นห่วงมากที่นายกฯชี้แจงว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องงบลงทุน โดยการเพิ่มแหล่งลงทุน โดยเฉพาะการกู้เงินตาม พ.ร.บ.หนี้ มากขึ้น ผมยืนยันว่านี่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหางบประมาณ แต่จะทำให้ระบบงบประมาณยิ่งอ่อนแอลง การที่พยายามจะหลบค่าใช้จ่ายโดยไปใช้ พ.ร.ก.กู้เงิน จะทำให้รัฐสภาไม่ได้ตรวจสอบ ประชาชนไม่ทราบ การประกาศใช้ พ.ร.ก.แล้วนำงบไปใช้เลย จะทำให้ระบบงบประมาณเกิดความเสียหายมาก ดังนั้นยืนยันว่า พ.ร.ก.กู้เงิน ไม่ใช่หลักงบประมาณที่ดี” นายพิสิฐกล่าว

ชี้เสี่ยงผิดกม.วินัยการคลัง
นายพิสิฐกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ระบบงบประมาณกำลังอยู่ในวิกฤต เพราะค่าใช้จ่ายกำลังบวมขึ้น ทำให้เม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนให้เกิดประโยชน์ด้อยลง โดยเฉพาะงบกลางกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นงบสวัสดิการข้าราชการ อยากให้แยกหมวดให้ชัดเจน เพื่อการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และฐานะการคลังและหนี้ของรัฐบาลกำลังจะเป็นตัวปัญหาใหญ่ เพราะเรื่องการใช้จ่ายโควิดที่มีการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท กับกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ประกอบกับรายได้ของรัฐบาลที่ตกต่ำ เพราะเศรษฐกิจฝืดเคือง แม้เจ้าหน้าที่พยายามจะบอกว่าหนี้สาธารณะยังไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ และปั่นตัวเลขจีดีพี จึงไม่อยากให้เราทำผิดกฎหมายโดยอนุมัติงบประมาณไป เพราะงบปี 65 จะขาดดุลถึง 7 แสนล้านบาท ถ้ามีการเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ยังมีรายจ่ายอย่างเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่รัฐเพิ่งประกาศเพื่อแก้โควิดจะเป็นตัวก่อหนี้อีกตัวหนึ่ง

“ถ้าสภาอนุมัติงบปี 65 เท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลทำผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มีการระบุไว้ว่าจะต้องดูแลเรื่อง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณที่ดี ในการจัดทำงบประมาณประจำปี แต่การแถลงของนายกฯเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ยังมีความไม่สมบูรณ์ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นความจงใจทำผิด พ.ร.บ.หรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 10(1) ระบุชัดว่านายกฯต้องแถลงฐานะการคลัง แต่นายกฯแถลงเพียงตัวเลขหนี้ ไม่ใช่ฐานะการคลัง และมาตรา 11 ระบุว่าต้องแถลงวิธีการหาเงิน แต่นายกฯไม่แถลง ดังนั้นผมจึงไม่อยากเห็นทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้” นายพิสิฐกล่าว

จากนั้นนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอใช้สิทธิชี้แจงประเด็นที่นายพิสิฐมีความเป็นห่วงการจัดงบประมาณปี 65 โดยเฉพาะงบลงทุน กรอบวงเงินขาดดุลงบประมาณว่า ช่วงปี 63-65 ยังอยู่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่คาดการณ์ว่าปี 65 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ แต่เพราะสถานการณ์โควิด ซึ่งเราไม่คาดคิดกันมาก่อน ปีที่ผ่านมาและปีนี้จึงมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น

ภท. อัดจัดงบพิลึกพิลั่น
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อภิปรายว่า การจัดทำงบประมาณปีนี้เป็นปีที่ผิดแปลกและแตกต่างไปจากการทำงบประมาณช่วงปี 63-64 ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะโจทย์ใหญ่และความคาดหวังของประชาชนอยู่ที่การแก้ไขปัญหาโควิด เพื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติ จะไม่แปลกใจเลยหากว่างบประมาณที่สำนักงบประมาณจัดทำและเสนอต่อสภา งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขจะได้รับเพิ่มมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ต้องบอกว่าแปลกเพราะเป็นการจัดทำงบประมาณที่พิลึกพิลั่น เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขที่เปรียบเมือนหัวหอกและเรือธงในการแก้ปัญหากลับถูกตัดงบอย่างน่าใจหาย

โยนอนุทินเคลียร์ชาดา
ต่อมาที่อาคารรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมสภาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 65 วันที่สอง ถึงกรณีที่ ส.ส.พรรค ภท.ท้วงติงการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 65 ที่ตัดงบของ สธ.ลดลงว่า ชี้แจงได้อยู่แล้ว และได้ทำความเข้าใจหัวหน้าพรรค ภท.เรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการพูดคุยกันใน ครม.ด้วย ถึงการจัดทำงบประมาณปี 2565 ซึ่งหลายเรื่องมีงบประมาณทดแทนในส่วนอื่นเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะความเดือดร้อนของประชาชนที่รัฐบาลดูแลทุกเรื่อง บางอย่างก็ใช้วงเงินนอกกรอบงบประมาณ จะบอกว่าใช้งบประมาณน้อยคงไม่ใช่ อาจจะไม่ได้ดูรายละเอียดตรงนี้ ทั้งนี้ การพูดอะไรต่างๆ ก็ตามต้องมีรายละเอียดมากพอสมควร งบก็อยู่แค่กระทรวงเดียว

“ถ้าสภาอนุมัติงบปี 65 เท่ากับเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลทำผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มีการระบุไว้ว่าจะต้องดูแลเรื่อง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณที่ดี ในการจัดทำงบประมาณประจำปี แต่การแถลงของนายกฯเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ยังมีความไม่สมบูรณ์ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นความจงใจทำผิด พ.ร.บ.หรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 10(1) ระบุชัดว่านายกฯต้องแถลงฐานะการคลัง แต่นายกฯแถลงเพียงตัวเลขหนี้ ไม่ใช่ฐานะการคลัง และมาตรา 11 ระบุว่าต้องแถลงวิธีการหาเงิน แต่นายกฯไม่แถลง ดังนั้นผมจึงไม่อยากเห็นทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้” นายพิสิฐกล่าว

จากนั้นนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอใช้สิทธิชี้แจงประเด็นที่นายพิสิฐมีความเป็นห่วงการจัดงบประมาณปี 65 โดยเฉพาะงบลงทุน กรอบวงเงินขาดดุลงบประมาณว่า ช่วงปี 63-65 ยังอยู่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่คาดการณ์ว่าปี 65 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ แต่เพราะสถานการณ์โควิด ซึ่งเราไม่คาดคิดกันมาก่อน ปีที่ผ่านมาและปีนี้จึงมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น

ภท. อัดจัดงบพิลึกพิลั่น
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อภิปรายว่า การจัดทำงบประมาณปีนี้เป็นปีที่ผิดแปลกและแตกต่างไปจากการทำงบประมาณช่วงปี 63-64 ของรัฐบาลชุดนี้ เพราะโจทย์ใหญ่และความคาดหวังของประชาชนอยู่ที่การแก้ไขปัญหาโควิด เพื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติ จะไม่แปลกใจเลยหากว่างบประมาณที่สำนักงบประมาณจัดทำและเสนอต่อสภา งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขจะได้รับเพิ่มมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ต้องบอกว่าแปลกเพราะเป็นการจัดทำงบประมาณที่พิลึกพิลั่น เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขที่เปรียบเมือนหัวหอกและเรือธงในการแก้ปัญหากลับถูกตัดงบอย่างน่าใจหาย

โยนอนุทินเคลียร์ชาดา
ต่อมาที่อาคารรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมสภาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 65 วันที่สอง ถึงกรณีที่ ส.ส.พรรค ภท.ท้วงติงการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 65 ที่ตัดงบของ สธ.ลดลงว่า ชี้แจงได้อยู่แล้ว และได้ทำความเข้าใจหัวหน้าพรรค ภท.เรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการพูดคุยกันใน ครม.ด้วย ถึงการจัดทำงบประมาณปี 2565 ซึ่งหลายเรื่องมีงบประมาณทดแทนในส่วนอื่นเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะความเดือดร้อนของประชาชนที่รัฐบาลดูแลทุกเรื่อง บางอย่างก็ใช้วงเงินนอกกรอบงบประมาณ จะบอกว่าใช้งบประมาณน้อยคงไม่ใช่ อาจจะไม่ได้ดูรายละเอียดตรงนี้ ทั้งนี้ การพูดอะไรต่างๆ ก็ตามต้องมีรายละเอียดมากพอสมควร งบก็อยู่แค่กระทรวงเดียว

ที่มา MATICHON