บิ๊กตู่ ท้อตอบปมของข้าวของแพง โวยังทำดีกว่าหลายประเทศ แย้มรอบหน้าถ้าคัมแบ็ก จะปรับนโยบายใหม่ ขอการเมืองเบาลงบ้าง ถึงกับอุดหู ไม่ได้ยินคำถามเกี่ยวกับบิ๊กป้อม
เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 29 เม.ย.2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นหลายชนิด โดยเฉพาะไข่และบะหมี่สำเร็จรูปว่า ที่ผ่านมาทุกคนทราบดีว่ารัฐบาลช่วยเหลืออะไรไปแล้วบ้าง แต่จะต้องหามาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือว่า ทำอย่างไรราคาต้นทุนจะไม่สูงเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายไม่สูงขึ้นมาก แต่เข้าใจว่าปัจจุบันต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อีกทั้งมาตรการการช่วยเหลือ รัฐบาลจำเป็นต้องดูงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนเพียงไร
นายกฯ กล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้หยุดนิ่ง ทุกเรื่องที่มีปัญหา ไม่ว่าด้านแรงงาน ค่าแรง ราคาพลังงานต่างๆ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวงหามาตรการที่เหมาะสม ก่อนเสนอมายังตนในฐานะนายกฯพิจารณา แต่จะให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์แบบเดิมคงไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งหลายคนพูดผ่านสื่อว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ ก็อยากให้ไปดูประเทศอื่นด้วยว่า เขาแก้ได้น้อยกว่าเรา ประเทศไทยแก้ได้มากกว่าเขา แต่ยังไม่น่าพอใจ ตนก็ยังไม่พอใจ แต่ปัญหาติดอยู่ที่งบประมาณ เรามีอยู่จำกัด ทำอะไรต้องมีหลักการ ไม่สร้างภาระไว้ในวันข้างหน้า
“สิ่งที่นายกฯ กำลังคิดต่อไปคือ นโยบายของรัฐบาลในวันข้างหน้า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่าง สถานการณ์วันนี้ ถือเป็นบทเรียนว่าโลกเปลี่ยนไปแล้วทุกอย่าง รัฐบาลและตัวนายกฯ ต้องเตรียมการว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไรต่อไป ถ้ายังมีโอกาสได้อยู่และได้ทำ ก็เอาปัญหาทุกปัญหามาประมวล โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำ รายได้ อาชีพ วันนี้เมื่อโควิดเข้ามา ทำให้แผนงานเดิมมีปัญหา จึงต้องแก้ทุกอย่าง ซึ่งการทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ใช้งบประมาณสูงมาก” นายกฯ กล่าว
ที่ผ่านมาได้ให้แนวทางไปแล้วว่าให้ระวังเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ เนื่องจากปัจจุบันร่อยหรอลงไปทุกที รัฐบาลพยายามดูแลให้ทั่วถึง ซึ่งต้องปรับในหลายๆ อย่างในวันข้างหน้าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีกในอนาคต โลกมันเปลี่ยนเราต้องปรับ นโยบายของรัฐบาลและนโยบายการเมืองก็ต้องปรับทั้งหมด เพราะถ้าเราอยู่แบบนี้มันไปไม่ได้ หลายอย่างที่กำลังจะโตก็ต้องล้มและพังลงมา บางครั้งก็เป็นเพราะความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน
“อยากขอร้องว่า การเมืองก็เบาๆ ลงบ้างก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือกัน แล้วจะแก้กันอย่างไร เพราะการแก้ปัญหาต้องแก้ด้วยวิธีการร่วมมือ ถ้าขัดแข้งกันตั้งแต่ต้น มันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ไปกันไม่ได้ แล้วจะไปแก้อะไรได้ ใครจะได้รับผลกระทบ รัฐบาลนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือประชาชน วันข้างหน้านโยบายภาครัฐต้องปรับหลายอย่าง ซึ่งเราพยายามปรับมาหลายอย่างแล้ว แต่มันเดินมาได้ช้า เนื่องจากความขัดแย้งสูง การจะปรับเปลี่ยนต่างๆ ของไทยนั้น ยอมรับว่ายาก ต้องทำอย่างระมัดระวัง” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่าได้ยินข่าวพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เกี่ยวกับเรื่องนายกฯหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบ พร้อมกับทำนิ้วแยงไปที่หู เหมือนไม่อยากได้ยิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์มีสีหน้าและน้ำเสียงคล้ายกับคนอ่อนล้า และไม่สดชื่น
ที่มา khaosod