ทหารยศสิบตรี ก่อเหตุวิ่งราวสร้อยทอง หนัก 2 บาท จำนวน 2 เส้น มูลค่า 127,400 บาท ในพื้นที่ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี สุดท้ายพลาดท่า ดันนำทองไปขายร้านทองน้องสาวผู้เสียหาย ตำรวจใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมง รวบทันควัน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 มิถุนายน 2565 ขณะที่ พ.ต.ต.นพล วงศ์พุฒิ สว.สอบสวน สภ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนโรงพัก รับแจ้งเหตุคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น อายุประมาณ 20-25 ปี สวมเสื้อคลุมแขนยาวแบบมีฮู้ด สีเทา กางเกงขายาวสีดำ หน้ากากอนามัยสีดำ หมวกปีกสีครีม และรองเท้าแตะสีน้ำเงิน ก่อเหตุวิ่งราวทองรูปพรรณ หนัก 2 บาท จำนวน 2 เส้น มูลค่า 127,400 บาท หลังทำทีมาขอเลือกซื้อทองรูปพรรณในห้างทองเยาวราช 2 เลขที่ 468-469-470 ม.15 บ.น้ำฆ้อง ถ.พิศาลสารกิจ ต.พันดอน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี โดยอาศัยจังหวะเจ้าของร้านทองเผลอ วิ่งหลบหนีไปขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ 110 ไอ สีดำ-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ที่จอดอยู่ข้างร้าน ซิ่งหลบหนีไปทางสามแยกบ้านพันดอน ก่อนมุ่งหน้าไปถนนมิตรภาพ อุดร-ขอนแก่น

จึงรายงานให้ พ.ต.อ.พงศ์พันธ์ นาขวา ผกก.สภ.กุมภวาปี รับทราบ และนำกำลังตำรวจป้องกันและปราบปราม ตำรวจสืบสวนสอบสวนรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบนางสาวมีนตรา ธาดาศุภาภรณ์ อายุ 53 ปี เจ้าของร้านทอง และสามี ยืนรอให้การกับตำรวจที่หน้าร้าน พร้อมกับนำตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดขณะคนร้ายเข้ามาก่อเหตุและหลบหนีไป หลังรับแจ้งตำรวจได้วิทยุสกัดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายใช้หลบหนี ส่วนเจ้าของร้านได้ไลน์แจ้งไปทางกลุ่มผู้ประกอบการร้านทองในพื้นที่

กระทั่งเวลาประมาณ 14.30 น. วันเดียวกัน นางวีรยา ภู่โสภา อายุ 50 ปี น้องสาวผู้เสียหาย เจ้าของห้างทองเยาวราช โนนสูง เลขที่ 299/2 ม.11 บ.โนนสูง ต.โนนสูง อ.เมืองอุดรธานี แจ้งกลับมาว่ามีผู้ต้องสงสัยนำทองรูปพรรณหนัก 2 บาท มาขายที่ร้าน จำนวน 1 เส้น และมีตำหนิรูปพรรณ พร้อมของกลางตรงกับที่รับแจ้ง หลังรับแจ้งตำรวจชุดสืบสวน สภ.กุมภวาปี ได้ประสานตำรวจสืบสวน และตำรวจป้องกันและปราบปราม สภ.โนนสูง เข้าตรวจสอบและควบคุมตัวไว้ และให้การรับสารภาพเพียงสั้นๆ ว่า เป็นคนก่อเหตุวิ่งราวจริง เพราะเป็นหนี้ ทราบชื่อภายหลังคือ สิบตรี ราชัน ขามรัตน์ สังกัดค่ายทหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมืองอุดรธานี อายุ 23 ปี ชาว ม.11 ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี

หลังจากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวพร้อมของกลางและรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า MSX 125 สีดำ-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ที่ขับขี่นำทองรูปพรรณที่ชิงมาไปขาย หลังจากใช้รถจักรยานยนต์ของยายไปก่อเหตุวิ่งราวทองรูปพรรณมาจากร้านที่เกิดเหตุ นำตัวไปตรวจยึดทองสร้อยคอทองรูปพรรณอีก 1 เส้น เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ขณะก่อเหตุและหลบหนี ที่เก็บไว้ในบ้านพักภายในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.โนนสูง อ.เมืองอุดรธานี ก่อนควบคุมตัวมาตรวจยึดรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุที่หน้าบ้านเลขที่ 169 ม.11 บ.เชียงแหว ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ

นางสาวมีนตรา ธาดาศุภาภรณ์ ผู้เสียหาย เล่าว่า คนร้ายทำทีเป็นลูกค้าเข้ามาขอดูทองภายในร้าน จึงเอาให้ดูสองเส้น แล้วตนก็เอาเก็บ แต่คนร้ายก็ขอดูทองใหม่อีกสองเส้น แล้วทดลองสวมสร้อยคอทองคำ หลังจากนั้นคนร้ายก็วิ่งออกจากร้านไปพร้อมทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 2 เส้น ซึ่งขณะนั้นตนและสามีรู้สึกตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แล้วตนก็ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อที่จะดูตำหนิรูปพรรณและยานพาหนะคนร้าย พร้อมกับไลน์แจ้งเหตุในกลุ่มผู้ประกอบการ

“หลังจากนั้นตนก็ทราบว่าคนร้ายที่เข้ามาก่อเหตุได้เอาทองไปขายที่ร้านน้องสาวที่หน้าตลาดสดโนนสูง ต.โนนสูง อ.เมืองอุดรธานี จึงบอกตำรวจชุดสืบสวน สภ.กุมภวาปี ที่กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิด ตำรวจจึงประสานไปยัง สภ.โนนสูง เข้าควบคุมตัว ส่วนตนหลังรับแจ้งจากน้องสาว ได้รีบขับรถไปตรวจสอบ พบว่าเป็นสร้อยคอทองคำที่ถูกชิงมาจากร้านของตน และชี้ยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุวิ่งราวทองที่ร้านของตนจริง ซึ่งต่อไปตนคงจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่านี้ ตนก็รู้สึกดีใจที่ตำรวจจับคนร้ายได้ทันควัน”

นางวีรยา ภู่โสภา น้องสาวผู้เสียหาย เปิดเผยว่า คนร้ายมาที่ร้านเวลา 14.30 น. เพื่อมาขายสร้อยคอทองคำ 2 บาท 1 เส้น ตนก็ถามอยู่ว่าสร้อยคอทองคำซื้อมาจากไหน ซึ่งคนร้ายบอกว่าซื้ออยู่ในตัวเมืองอุดรธานี และอ้างว่าพอดีแฟนใส่ได้ไม่กี่วัน แล้วมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงิน ก็เลยเอามาขาย แต่ว่าตนก็ได้มีการติดต่อกันอยู่ในกลุ่มไลน์ผู้ประกอบการร้านทองในพื้นที่ และเห็นว่ามีการก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ร้านทอง เพราะพี่สาวของตนแจ้งเข้ามาในกลุ่ม ทำให้ตนสงสัยเอาไว้ก่อน ซึ่งสร้อยคอทองคำ และตัวคนร้ายนั้นตรงกันกับที่แจ้งในกลุ่มไลน์ และสร้อยทองยังไม่ได้มีการใช้งานมาก่อน และยังดูใหม่

“จึงให้สามีคุยถ่วงเวลา และตีราคานานหน่อย ส่วนตนก็เข้าไปโทรศัพท์บอกพี่สาว เพื่อให้พี่สาวแจ้งตำรวจให้มาจับกุม ซึ่งตำรวจ สภ.กุมภวาปี ก็ประสานงานมาที่ตำรวจ สภ.โนนสูง เข้ามาจับกุมคนร้ายที่ร้าน โดยไม่มีการต่อสู้และขัดขืน ตอนที่คนร้ายอยู่ในร้านตนก็ไม่ได้ล็อกประตู แต่ใช้การพูดคุยกับคนร้ายไปเรื่อยๆ เพื่อรอตำรวจมา และคนร้ายก็คงไม่คิดอะไรมาก และก็ไม่มีพิรุธอะไร พอตำรวจมาคนร้ายก็ยังนิ่งเฉย ซึ่งคนร้ายก็ได้คุยกับตำรวจว่า เป็นคนก่อเหตุมาจริง ส่วนเรื่องสาเหตุที่คนร้ายมาก่อเหตุ ตนก็ไม่ได้ถามกับคนร้าย มีเพียงคนร้ายพูดว่าเดือดร้อนเรื่องเงิน”

พ.ต.อ.พงศ์พันธ์ นาขวา ผกก.สภ.กุมภวาปี เปิดเผยว่า หลังจากรับแจ้งก็ได้ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบกล้องวงจรปิด และดูลักษณะของคนร้าย ซึ่งคนร้ายใช้รถจักรยานยนตร์ฮอนด้า เวฟ ล้อแม็ก ใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวกปิดบังใบหน้า และสวมรองเท้าแตะ ตามที่กล้องวงจรปิดทางร้านบันทึกเอาไว้ขณะก่อเหตุ จึงได้ประสานรายละเอียดไปในส่วนต่างๆ ของตำรวจ เพื่อที่จะติดตามหาเบาะแส และจับกุมคนร้าย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาในการจับกุมคนร้ายประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะคนร้ายได้เอาทองไปขายที่ร้านของน้องสาวเจ้าของร้านที่เกิดเหตุ ทำให้สามารถจับกุมคนร้ายได้ และนำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา “วิ่งราวทรัพย์” ต่อไป

ที่มา : ไทยรัฐ