นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แต่ที่ผ่านมาก็ยังมีข้อจำกัดบางส่วน เช่น ผับ บาร์ ที่มีเวลาปิดถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ซึ่งต้องมาดูว่าเป็นไปหรือไม่ที่เราจะปรับเปลี่ยนขยายเวลาบริการ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย ให้เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ไปแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ได้

“ไทยเรามีจุดแข็งเรื่องท่องเที่ยว แต่ที่ผ่านมา มีบางอย่างเหมือนเราอาจหลอกตัวเองอยู่ซึ่งจะบอกว่าเป็นสังคมอีแอบอยู่ก็ได้  อย่างข้อบังคับเกี่ยวกับเวลาเปิดปิดผับบาร์ ซึ่งจริงๆแล้วก็ยังมีการเล็ดล็อดเปิดอยู่ จึงต้องดู เพราะบางทีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมา 4-5 ทุ่ม  เที่ยงคืน ตีหนึ่งผับบาร์ก็ปิด แต่ถ้าให้เปิด 24 ชั่วโมง คนก็กังวลต่อความมั่นคง ก็ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้เหมาะสม แต่เรื่องนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการทำระบบภาษีต่างๆ เพื่อให้ประเทศดีขึ้น”  

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญ ในการทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย โดยมีกระทรวงการต่างประเทศ ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ ช่วยกันเปิดประตูการค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องของกฎระเบียบ อะไรที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนหรือเป็นอุปสรรคจะต้องมีการแก้ไข ตลอดจนจะต้องเดินทางไปโร้ดโชว์พบกับนักลงทุนให้มากขึ้นสำหรับตนหากเดินทางไปต่างประเทศ

“บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์ กูเกิล เทสล่า ที่เข้าไปลงทุนในหลายประเทศ ใช้หลักการลงทุนที่เป็นสากลดังนั้นหลักการลงทุนในประเทศไทยก็จะเป็นหลักการ สากลเช่นกันเราจะสามารถทำลายกำแพงตรงนี้ได้หรือไม่”

นอกจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มรายได้สุทธิของเกษตรกรไทย ให้ขยายตัวเป็น 3 เท่าภายใน 4 ปี ผ่านการเปิด ตลาดการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและในแอฟริกา ที่มีประชากรเพิ่มขึ้นมาก แต่ไม่มีความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งประเทศไทยมีความมั่นคงพอที่จะไปเปิดตลาดเพิ่ม รวมถึงเรื่องประมง ไทยเคยเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าประมงมีมูลค่าต่อปีถึง 350,000 ล้านบาท และนำเข้าถึง 150,000 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมาติดปัญหาเรื่องการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาเรายอมรับเงื่อนไขของไอยูยูมากกว่าที่เขาต้องการ ดังนั้นจำเป็นต้องมีการแก้ไข และรัฐบาลต้องไปเจรจาแก้อุปสรรคที่เกิดขึ้น

ขณะที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งถือเป็นเรื่องสำคัญของรัฐบาลที่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งภายใน 3 เดือนต่อจากนี้ จะเห็นแผนการทำงานที่ชัดเจน โดยการลงทุนเรื่องน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้จีดีพีประเทศขยายตัวได้ดีขึ้นรวมถึงทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม โดยไม่ต้องพึ่งการทำโครงการจำนำ ประกันรายได้หรือการรับจ้างผลิต

ส่วนเรื่องของความเหลื่อมล้ำ เป็นเรื่องที่เราต้องแก้ไข เราจะต้องสร้างความเสมอภาคในด้านต่างๆ ไม่ว่าสิทธิในการเลือกอาชีพ หรือเพศสภาพก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั่วโลกยอมรับแล้วและนักลงทุนต่างชาติก็ มองปัญหานี้อยู่เพราะนอกจากสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่นักลงทุนต่างชาติแล้ว เรื่องของการดูแลสิทธิ ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่มีความเหลื่อมล้ำสูงอยู่

ที่มา – เดลินิวส์