วันที่ 10 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมสภา มหาวิทยาลัยพิษณุโลก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน หรือ ทนายเจมส์ รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นายชาญชัย ฉายบุ ทนายความและเป็นที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย ซ้อลักษณ์ นางวิไลลักษณ์ ไชยชาญ ผู้เสียหาย และ น.ส.ปุ๊กกี้
นำหนังสือมายื่นต่อคณะผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลก โดยมี ดร.มานพ เกตุเมฆ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยพิษณุโลก นายชาตรี จำลองกุล นิติกรมหาวิทยาลัยพิษณุโลก พร้อมด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัยพิษณุโลก พร้อมร่วมกันประชุมหารือข้อเท็จจริง และตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อชี้แจงกรณีซื้อขายวุฒิการศึกษา และทวงถามเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร่วมขบวนการซื้อขายวุฒิ ว่ามีมากกว่า 1 คน หรือไม่
ซ้อลักษณ์ ยกมือกราบขอโทษทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลก ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยทนายฝั่งผู้เสียหายพูดชี้แจงว่า เพื่อเป็นการเคลียร์ข้อเคลือบแคลงสงสัยทางสังคม เพราะถ้าหากมีขบวนการผู้ร่วมกระทำความผิดซื้อขายวุฒิการศึกษา ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเป็นอย่างมาก
ทนายเจมส์ กล่าวว่า พานักศึกษาเดินทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลกเป็นครั้งแรก หลังสมัครเป็นนักศึกษา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายวุฒิการศึกษา ว่ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นอาจารย์ 1 ท่าน และมีท่านอื่นหรือไม่อย่างไร
ซึ่งคุณลักษณ์เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยพิษณุโลก มีจุดประสงค์ต้องการให้มีการขยายผลเพิ่มเติม ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการขายวุฒิการศึกษาหรือไม่ ให้มหาวิทยาลัยชี้แจงถึงการตรวจสอบว่า มีอาจารย์และพวกพ้องจำนวนมากน้อยเพียงใดทั้งหมดจะเป็นผลดีกับทางมหาวิทยาลัยพิษณุโลกเอง เพราะหลังจากเกิดเรื่อง ปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัย ส่งบัตรนักศึกษา เข้ามาในระบบออนไลน์ เชื่อว่าวันนี้ประชาชน ผู้ปกครอง สงสัยว่ามีผู้ร่วมขบวนการ เพียง 1 ท่านจริงหรือ อาจมีการขยายผลผู้ร่วมกระบวนการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในมหาวิทยาลัยว่า มีผู้กระทำความผิดมากน้อยเพียงใด
ซ้อลักษณ์ นักศึกษาผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนหลงเชื่อให้มาเป็นนักศึกษา เพื่อจะได้วุฒิการศึกษาปริญญาตรี เพราะได้รับการชักชวนว่าจะได้ค่าตำแหน่ง 4-5 แสนบาทต่อเดือน จากคนในมูลนิธิ ฯ เบื้องต้นได้จ่ายเงินผ่อนจ่าย 3 งวด งวดละ 50,000 บาท 2 ครั้ง และครั้งสุดท้าย 30,000 บาท จะได้วุฒิเลยในเดือน กุมภาพันธ์ 2567 ได้แย้งว่าผิดกฎหมาย ผู้ชักชวนอ้างว่าสามารถเคลียร์กับมหาวิทยาลัยได้ ว่าไม่มีปัญหา ตนเป็นเหยื่อเรื่องนี้
ด้าน ดร.มานพ กล่าวชี้แจ้งว่า ได้มีการสมัครเรียนตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง มีการส่งเอกสารหลักฐานเข้ามาที่มหาวิทยาลัยอย่างครบถ้วน พร้อมเงินค่าสมัครเรียนแรกเข้า 1,500 บาท และค่าเทอม 130,000 บาท เมื่อมาสมัครเรียน ทางคณะกรรมการจะประกาศรายชื่อเสร็จ นำชื่อเข้าสู่ระบบนายทะเบียน เมื่อมาอยู่กับเรา จากนั้นส่งชื่อไปที่คณบดีแต่ละคณะ เมื่อรับหมดจะแยกไปตาม หมวดการเรียนการสอน ทางคณะนั้นๆ น.ศ.ไปเรียนเป็นเวลา 3 ปี 3 ปีครึ่งหรือ 4 ปี
หลังจากเรียนจบการศึกษาแล้ว ทางคณะกรรมการจะมาพิจารณาหลักสูตรว่าถูกต้องไหม ตรวจสอบว่ามีชื่อตั้งแต่แรกเข้าจริง จบจริง แล้วจะส่งชื่อไปผู้บริหารวิชาการว่า รายชื่อเข้ามาตอนแรกรับ กับรายชื่อเมื่อจบตรงกันไหม เข้า-ออก จะมีการตรวจรายชื่อว่าเข้ามาจริง ไม่มีการเรียนก็ไม่จบการศึกษาสุดท้ายนักศึกษาที่จบจะเสนอคณะสภามหาวิทยาลัยเพื่อให้จบการศึกษาอีกครั้ง โดยนักศึกษาที่จบแล้วต้องมีอาชีพ มีงานทำ มีความซื่อสัตย์ พอเพียง ไม่สร้างความขัดแย้ง สร้างศัตรูและเป็นคนดีของสังคม
หลังจากได้เจรจาและสอบถาม ในเรื่องการซื้อขายวุฒิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซ้อลักษณ์ และทีมทนาย ต่างเข้าใจและเชื่อว่าทางมหาวิทยาลัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการซื้อขายวุฒิการศึกษา เป็นเพียงแค่ตัวบุคคลเท่านั้น และได้กล่าวขอโทษมหาวิทยาลัย ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
พร้อมกันนี้ แจ้งความจำนงจะไม่ขอเรียนต่อ และขอทำเรื่องคืนเงินจำนวน 130,000 บาท ที่ทำการลงทะเบียนไว้ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ให้ซ้อลักษณ์ กรอกใบยื่นความจำนง ลาออกจากการเป็นนักศึกษา และโอนเงินคืนให้ซ้อลักษณ์ ไปทั้งหมด ภายหลังจากได้รับเงิน ซ้อลักษณ์ บอกว่าจะนำเงินไปเป็นค่าเทอมลูกต่อไป