ซ้ำรอยบุรีรัมย์? ศรีสุวรรณ จี้ ป.ป.ช. สอบผู้ว่าฯ – สสจ.พิษณุโลก ปล่อยให้เกิดกรณี “ป้าแน่งน้อย” อ้างตำแหน่งที่ปรึกษาฯ ได้ฉีดวัคซีนโควิด เข็ม 3

เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนได้รายงานว่า มีบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์หรือพยาบาลในจังหวัดพิษณุโลก ได้ไปขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้ตัวเอง อ้างว่ามีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ที่ศูนย์รับฉีดวัคซีน หอประชุมศรีวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น

กรณีดังกล่าว ชี้ให้เห็นช่องว่างของการกำหนดหลักเกณฑ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 3 ของกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคโดยชัดแจ้ง เป็นกรณีที่ซ้ำรอยเดิมคล้ายจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้กับตำรวจซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ แต่ใช้ช่องว่างของหลักเกณฑ์เหมือนกันที่อ้างว่า “เป็นบุคคลด่านหน้า” เพื่อเลี่ยงบาลีอย่างหน้าด้านๆ และไม่ละอายต่อพี่น้องประชาชนคนพิษณุโลกรายอื่นๆ กว่า 80% ที่แม้แต่เข็มแรกก็ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

แม้บุคคลดังกล่าวจะออกมายอมรับโดยให้เหตุผลว่าทำงานด่านหน้ามาโดยตลอด ต้องนำสิ่งของต่าง ๆ จากการบริจาคไปมอบให้กับจุดคัดกรอง หรือโรงพยาบาลสนาม และด้วยความเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งที่ผ่านมาการฉีดวัคซีนนั้นตนมีคิวที่จะฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอยู่แล้ว แต่ด้วยช่วงแรก ๆ ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนน้อย จึงมาช่วยรณรงค์ให้ประชาชนหันมาฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ด้วยการไปฉีดวัคซีนซิโนแวคแทนทั้ง 2 เข็ม โดยมีแพทย์มาบอกตนเองว่าการเป็นผู้สูงอายุ ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มนั้นไม่ดี อาจเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันเหลือน้อย เนื่องจากเป็นผู้สูงอายุ ตนจึงได้ขอเข้าไปฉีดวัคซีนเข็ม 3

การอ้างเหตุผลว่าคนพิษณุโลกออกมาฉีดวัคซีนน้อยนั้น เป็นการกล่าวอ้างแบบน้ำขุ่นๆฟังไม่ขึ้น เพราะคนพิษณุโลกส่วนใหญ่ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 กันทั้งนั้น เพียงแต่ภาครัฐยังจัดสรรวัคซีนไปให้น้อยไม่เพียงพอต่างหาก การไปแย่งฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 โดยไม่คำนึงว่ายังมีคนอื่นอีกมากที่ยังไม่ได้ฉีดเลย โดยอ้างเหตุผลนานาสารพัดนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนที่ทำงานเสียสละเพื่อสังคมพึงกระทำ อย่าให้พวกเด็กๆมันตำหนิได้ว่าแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน

ดังนั้นในวันนี้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวนไต่สวนเอาผิด ผู้ว่าฯพิษณุโลก และ สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก (สสจ.) และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องว่า ปล่อยให้บุคคลเหล่านี้มาแย่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปฉีดให้กับตนเองเป็นเข็มที่ 3 ได้อย่างไร ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขต้องทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่ไม่ปล่อยให้มีคนหน้าด้านๆ ใช้ช่องว่าว่าเป็นบุคคลด่านหน้า มาแย่งฉีดวัคซีนเยี่ยงนี้อีก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีดังกล่าวที่ นายศรีสุวรรณกล่าวถึง มีข้อเท็จจริงที่ตรงกันกับกรณีของ “นางแน่งน้อย อัศวกิตติกร” วัย 64 ปี ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่ม ศอช. (ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด (Bully) ทางสังคมออนไลน์) ที่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดี ม.112 กับกลุ่มราษฎร รวมถึงฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง โดยประเด็นมีอยู่ว่า ชื่อของ นางแน่งน้อย เป็น 1 ในผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3

ซึ่งนางแน่งน้อย ได้ยอมรับว่า ไปรับขอฉีดวัคซีนเข็ม 3 จริง สาเหตุที่ต้องไปขอฉีดวัคซีนเข็ม 3 เนื่องจากตนเองทำงานด่านหน้ามาโดยตลอด นำสิ่งของต่างๆ จากการบริจาคมามอบให้กับจุดคัดกรอง หรือโรงพยาบาลสนามมาโดยตลอด และเป็นผู้สูงอายุ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าไปแอบอ้างว่าเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกบ้าง หรือไปบีบบังคับบุคลากรทางการแพทย์นั้นก็ไม่จริงแต่อย่างใด ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเป็นคนอ้างใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะการทำงานก็ทำด้วยใจและทำเพื่อสังคมมาโดยตลอด

ที่มา : khaosod