ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก พร้อมด้วย ร.ต.อ.มินทร์ มิชสินธ์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก และ คณะกรรมการตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก เดินทางไปให้กำลังใจและเยี่ยมครอบครัวของ นางทองดี ถิ่นทับ อายุ 74 ปี หลังจากได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานบ้านไปอยู่ที่หมู่ 1 บ้านนาโพธิ์แดง ต.บึงพระ อ.เมืองพิษณุโลก โดยมี นายสุทธิวัตติ์ ต่ายวัลย์ นายก อบต.บึงพระ และผู้ใหญ่บ้านให้การต้อนรับ หลังจากปลายปี 2563 ที่ผ่านมา นางทองดีและครอบครัวได้ถูกศาลตัดสินให้ย้ายบ้านเลขที่ 191/1 ถนนวังจันทน์ ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก ที่เคยอยู่มานานกว่า 50 ปี ออกจากที่ดินซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่แม่น้ำน่าน เนื่องจากเป็นที่ดินของกรมเจ้าท่า ต่อมากรมเจ้าท่าทางได้เข้าแจ้งความกับตำรวจเนื่องจากเป็นการสร้างสิ่งปลูกสร้างล่วงล้ำเข้าไปในเขตแม่น้ำน่าน โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมกับประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงอีกหลายราย จนกระทั่งศาลตัดสินแล้ว ครอบครัวคุณยายทองดี ได้ย้ายมาอยู่ในที่ดินของกรมชลประทานใกล้กับครอบครัวลูกชาย

แต่ในคดีนี้ มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวคุณยายทองดี คือ ร.ต.อ.มินทร์ มิชสินธ์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก เจ้าของคดีคุณยายทองดี และอีกหลายคนที่ถูกดำเนินคดีเหมือนกัน ทำคดีให้เกือบปี ทั้งในการทำสำนวน ยื่นต่ออัยการ และศาล จนศาลตัดสินมีคำสั่งให้รื้อถอนออกจากริมถนนวังจันทน์ติดกับแม่น้ำน่านทุกคนภายใน 360 วัน แต่คุณยายทองดี ไม่ได้ไปศาลและไม่รู้เรื่อง จึงไม่ได้รื้อถอนตามคำสั่งศาล ทำให้ศาลได้มีคำสั่งให้มีการบังคับคดีทางคดีอาญาให้รอลงอาญา 1 ปี และปรับคุณยายทองดีอีก 7,400 บาท ทำให้ผู้กองมินทร์ หรือ ร.ต.อ.มินทร์ มิชสินธ์ เจ้าของคดีว่าคุณยายมีฐานะยากจน จึงได้เตรียมเงินสดไปจ่ายให้คุณยายทองดีที่ศาล แต่ศาลท่านเมตตาให้ปรับเป็นรายวันโดยคำนวณตามพื้นที่ 62.50 ตารางเมตร นับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย.2562 ถึงวันที่ 19 ม.ค.2564 วันละ 25 สตางค์ รวมเป็นเงินทั้งหมด 124 บาท ผู้กองมินทร์จึงจ่ายค่าปรับทั้งหมดให้ ท่ามกลางความชื่นชมและยกย่องการมีน้ำใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยคนนี้จากคุณยายทองดีและผู้ที่รับทราบเรื่องราว แต่ก็ไม่เคยมีใครเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้

ร.ต.อ.มินทร์ มิชสินธ์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า คดีนี้ทางกรมเจ้าท่า แจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกริมแม่น้ำน่าน เมื่อปี 2561 จำนวนหลายราย ซึ่งหนึ่งในนั้น มีครอบครัวคุณยายทองดี ซึ่งหลังมีการตัดสินคดีเบื้องต้นแล้ว ทุกคนก็ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป เหลือแต่ครอบครัวของคุณยายทองดี ที่ยังไม่ได้รื้อ จนกระทั่งศาลมีคำสั่งบังคับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่ของกรมเจ้าท่าและดำเนินคดีทางอาญาพร้อมสั่งปรับ โดยคดีอาญาให้รอลงอาญา ส่วนค่าปรับนั้นให้จ่ายจำนวน 7,400 บาท ตนเห็นว่า ครอบครัวคุณยายทองดี ยากจนไม่มีรายได้อะไร จึงได้นำเงินเดือนที่ตนเองเตรียมมาจ่ายให้ที่ศาล แต่ศาลท่านเมตตา ให้จ่ายเพียง 124 บาท ตนก็ได้จ่ายไป พร้อมกับให้คุณยายทองดี ขนย้ายสิ่งของไปอยู่ที่ดินใกล้กับบุตรชายทันที

ด้าน พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า ตนมีแนวความคิดว่าอยากตามหาตำรวจที่ทำความดี โครงการนี้คือ ตำรวจผู้ปิดทองหลังพระ ซึ่งได้รับทราบจาก กก.ตร.จ.พิษณุโลก ว่ามีตำรวจดี ๆ นอกจากทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้ว ก็ยังมีหมวกอีกใบคือเรื่องของคุณธรรม ความเห็นอกเห็นใจประชาชน กรณีของคุณยายทองดีถ้าพนักงานสอบสวนรวบรวมสำนวนดำเนินคดีส่งอัยการฟ้องศาลก็ถือว่าทำหน้าที่ครบถ้วนแล้ว แต่การที่แสดงความเห็นใจคุณยายที่เป็นผู้ต้องหาโดยการช่วยเหลือทุกอย่างทั้งเรื่องการหาทนายให้ และเสียค่าปรับแทนคุณยาย แม้จำนวนเงินจะไม่มากมายอะไร แต่ตนก็อยากให้ประชาชนได้มองเห็นภาพดี ๆ อีกด้านหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่หลายคนไม่เคนเห็นไม่เคยได้สัมผัส ว่าปัจจุบันยังมีตำรวจน้ำดี ที่เสียสละให้แก่ประชาชนได้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรพูดถึงและเชิดชูการกระทำของตำรวจผู้ปิดทองหลังพระ เช่น ผู้กองมินทร์ และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านสวมหมวกสองใบเช่นเดียวกับผู้กองมินทร์ด้วยเช่นกัน