รวบหนุ่มจอมตุ๋น อ้างเป็นตำรวจกองปราบฯ คนสนิทของ ผบช.ก. ตุ๋นเหยื่อเปิดร้านอาหาร หลอกเงินลงทุน 1.6 ล้าน มีหมายจับติดตัวคดีฉ้อโกง

 ตำรวจกองปราบปรามจับกุม นายพลกร (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามตามหมายจับของศาลอาญาธนบุรี ข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น / นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบหรือประดับ หรือใช้ยศตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ” โดยจับกุมได้ที่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมของกลางภายในห้องพักเป็นอาวุธปืนปลอมสามกระบอก / เสื้อเกาะ / เสื้อกั๊กมีสัญลักษณ์ของกองบังคับการปราบปราม และแหวนตำรวจนายร้อยตำรวจระบุรุ่น 67 รวมถึงทะเบียนอาวุธปืนปลอม

นอกจากนี้ยังมีภาพตัดต่อภาพถ่ายตนเองแอบอ้างเป็นตำรวจเพื่อสร้างเป็นโปรไฟล์ พลตำรวจตรีจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เปิดเผยว่าผู้ต้องหารายดังกล่าวอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม และยังอ้างว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของตนเอง และได้มีการปลอมแปลงแอปพลิเคชั่นไลน์ ของตนด้วยการนำรูปและชื่อของตนเองไปสร้างโปรไฟล์เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในการหลอกเหยื่อ ซึ่งยังอ้างตัวว่าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 64 โดยยังอ้างเป็นหลานและเป็นแฟนของลูกสาวนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับสูง นอกจากนี้ยังอ้างเป็นผู้รับเหมารวมถึงเจ้าของร้าน เพื่อก่อเหตุหลอกผู้เสียหายมาแล้วหลายครั้ง

ขณะที่พันตำรวจเอกพรศักดิ์ เลารุจิราลัย รองผู้กำกับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า จากการสอบสวนทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมอ้างตัวเป็นตำรวจกองปราบตั้งแต่ปี 2563 หลอกลวงให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนทำร้านอาหาร เนื่องจาก จะได้ผลตอบแทนดี แต่ภายหลังผู้ต้องหาบ่ายเบี่ยงที่จะจ่ายผลตอบแทน จึงใช้กลอุบายหลอกผู้เสียหาย อ้างว่าสนิทกับ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก พร้อมกับนำแชท LINE ที่มีการระบุชื่อว่า เดอะก้อง
ซึ่งอ้างว่ามีการสนทนากับผู้บัญชาการสอบสวนกลางให้ผู้เสียหายดู เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ ส่วนที่อ้างว่าเป็นนายร้อยตำรวจรุ่น 64 นั้น ผู้ต้องหาเป็นคนที่ชอบอาชีพตำรวจจะมีการศึกษามาเป็นอย่างดีว่าด้วยอายุของผู้ต้องหาอยู่ระหว่างที่จะจบการศึกษาในรุ่นนี้

ขณะเดียวกันผู้ต้องหายังได้หลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆ ให้เชื่อว่าตนเองมีเคราะห์กรรมร่วมกับผู้ต้องหากับผู้เสียหาย และให้โอนเงิน เพื่อทำพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ ทำผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้ผู้ต้องหาจำนวน 162 ครั้ง รวมมูลค่ากว่า 1,600,000 บาท ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยจากการขยายผลทราบว่ามีหมายจับอยู่อีก 2 ท้องที่จำนวน 2 หมายจับ ในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งหลังจากนี้ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป