‘อนุทิน’ สั่งเปิดวอล์กอินฉีดเด็ก 12-17 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา ศธ.เคาะเกณฑ์เปิดเรียนศุกร์นี้ ดูรายตำบล-อำเภอ ผ่านเกณฑ์แล้วให้ คกก.โรคติดต่อจว.พิจารณาเปิด

'อนุทิน' สั่งเปิดวอล์กอิน เด็ก 12-17 ปี นอกระบบการศึกษา ฉีดไฟเซอร์

เมื่อวันที่ 20 ต.ค.64 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กอายุ 12-17 ปี ที่อยู่นอกระบบการศึกษา และมีปัญหาเข้ารับการฉีดวัคซีนไม่ได้ว่า ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนในกลุมอายุ 12 ปีขึ้นไป ไม่ได้ฉีดเฉพาะนักเรียนในระบบเท่านั้น กลุ่มนักเรียนนอกระบบที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ถือว่าเป็นประชาชนคนหนึ่ง ที่มีสิทธิได้รับวัคซีนเช่นเดียวกัน สามารถลงทะเบียนจุดฉีดต่างๆ เพื่อขอรับการฉีดวัคซีนได้เช่นกัน

ทั้งนี้ สั่งการให้ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. กำชับในที่ประชุมอีโอซีของกระทรวง วันที่ 21 ต.ค. เพื่อสั่งการไปยังสถานพยาบาลและจุดฉีดวัคซีนให้เปิดรับลงทะเบียนฉีดวัคซีนหรือวอล์กอิน สำหรับผู้ที่มีอายุ 12-17 ปี ซึ่งต้องพาผู้ปกครองมาเพื่อแสดงความยินยอมด้วย

“การฉีดวัคซีนเด็ก ไม่มีคำว่าในระบบหรือนอกระบบ แต่เราเน้นอายุ 12 ปีขึ้นไป อาศัยในประเทศไทย ขอให้ผู้ปกครองพามารับวัคซีนได้ เราเอาอายุเป็นเกณฑ์” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามถึง การประชุมของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่มีการหารือวันที่ 20 ต.ค. เกี่ยวกับการฉีดวัควีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 ในเด็กนักเรียนชายอายุ 12-16 ปี เนื่องจากมีความกังวลเรื่องของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ นายอนุทิน กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯ ประชุมในช่วงบ่ายวันที่ 20 ต.ค. ขอให้ติดตามผลการประชุมจากกรมควบคุมโรค อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนในเด็กเราเน้นเรื่องของความปลอดภัยเป็นสำคัญ

เมื่อถามต่อถึงการฉีดวัคซีนเพื่อรองรับการเปิดเทอมวันที่ 1 พ.ย.นี้ นายอนุทิน กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเป็นไปตามระดับที่เราคาดการณ์ไว้ ยืนยันว่าเจตนารมณ์ที่จะให้เปิดภาคเรียนใน พ.ย.นี้ยังเป็นไปตามนั้น โดยผู้ปกครองที่ยังไม่ได้ให้ลูกหลานมาฉีดวัคซีน อยากให้ทราบว่า เราฉีดจำนวนมากแล้วกว่า 2 ล้านคนแล้ว ไม่มีเหตุการณ์อาการข้างเคียงอันตรายใดๆ

ซึ่งพื้นฐานเด็กมีความแข็งแรงอยู่แล้ว การมาเร่งฉีดวัคซีนทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเด็ก ครูอาจารย์ และผู้ใกล้ชิดเด็ก การฉีดช่วยป้องกันทั้งติดเชื้อแพร่เชื้อ หากไม่ฉีดอาจรับเชื้อภายนอกกลับบ้าน ก็แพร่เชื้อคนในครอบครัวก็ไม่เป็นผลดีใดๆ เรามีวัคซีนเพียงพอที่จะฉีดให้นักเรียนเกิดความปลอดภัย

“การรับวัคซีนมีประโยชน์มากกว่าไม่ได้รับวัคซีนหลายเท่า เทียบค่าไมได้ การฉีดนอกจากป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด ยังป้องกันผู้อื่นด้วย สังคมไทยเราอยู่ในระบบครอบครัว ผู้สูงอายุที่พักอาศัยในบ้าน ถ้าเราฉีดกันถ้วนหน้าครบทุกคน เด็กมาเรียนหนังสือ เกิดติดเชื้อกลับไปบ้านก็ปลอดภัยที่จะไม่แพร่เชื้อออกไป

โดยเฉพาะคนที่บ้านรับวัคซีนถ้วนหน้าโอกาสติดเชื้อแทบไม่มี ถ้ามีคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนก็เปิดโอกาสความเสี่ยงติดเชื้อแพร่เชื้อ ในภาวะที่เรามีเครื่องมือครบถ้วน ทำไมไม่มาทำความปลอดภัยสูงสุดต่อตัวเองครอบครัว เป็นการช่วยเหลือดูแลตัวเอง ครอบครัว สังคม และเกิดประโยชน์สูงสุดเกิดกับประเทศชาติ” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า เกณฑ์การเปิดเรียน นักเรียนต้องได้รับวัคซีนเข็ม 1 ครบทุกคนตามที่แสดงความจำนงหรือไม่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า เรามีโรงเรียนมากกว่า 3 หมื่นโรง สภาพหลากหลายพื้นที่ โดยวันที่ 22 ต.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปเรื่องของกรอบความปลอดภัยที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ทั้งระดับสีแดงเข้ม สีแดง สีส้ม

นอกจากนี้ ในจังหวัดเดียวกันแม้จะเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม แต่ระดับชุมชนหรือหมู่บ้านอาจจะปลอดภัยเป็นสีเขียว จึงขึ้นกับการพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดด้วย เบื้องต้นโรงเรียนไหนผ่านมาตรฐาน คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเห็นชอบก็ทยอยเปิดได้ โดยไม่จำเป็นว่านักเรียนต้องได้รับวัคซีนครบ 100% เนื่องจากวัคซีนเป็นหลักหนึ่งในการช่วยลดความรุนแรงในการติดเชื้อ

แต่สิ่งสำคัญยังเป็นนิวนอร์มัล โดยเฉพาะการเว้นระยะห่าง และโรงเรียนต้องดำเนินการตามมาตการ 6-7-7 ของกรมอนามัย เพื่อเปิดเรียนอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ยังให้ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาสื่อสารสร้างความเข้าใจขั้นตอนการเปิดเรียน และสำรวจว่าพื้นที่ไหนที่เป็นไปได้ในการเปิดเรียน

ด้าน นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า โรงเรียนต้องประเมินความพร้อมตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอนุมัติว่าเปิดเรียนวันที่ 1 พ.ย.นี้ ได้กี่โรง

ซึ่งการพิจารณาเราไม่ได้ใช้ในระดับจังหวัด แต่ใช้อำเภอหรือตำบลเป็นฐานในการพิจารณาว่าไม่ได้ระบาดมานาน ครู บุคลากรก็ได้รับวัคซีนตามเงื่อนไข เมื่อประเมินโรงเรียนผ่าน คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ก็พิจารณาอนุญาตให้เปิดได้ แม้จะไม่ได้เปิดแบบ ออนไซต์ ก็ยังเปิดเรียนด้วยวิธีการอื่นที่เคยทำมา เช่น ออนไลน์

ที่มา khaosod