โทนี โชว์วิชั่นรับ ‘เมทาเวิร์ส’ ห่วงรบ.พูดอะไรเชยดักดาน แล้วยังภูมิใจ แนะอยู่มา 7 ปีก็วางอนาคตบ้าง

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โทนี วู้ดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมสนทนาในรายการ CareTalk x Care Clubhouse ในหัวข้อ “Metaverse” โลกก้าวไป แต่นายกไทยยังใช้ทหารปลูกผักชี!?

โทนี กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงวันนี้ โดยเฉพาะทางรัฐบาลไม่มียุทธศาสตร์ชัดเจน ในการตามตัวเองให้ทันกับโลก ที่เทคโนโลยีจะมีผลต่อการพัฒนาและวางพื้นฐานให้กับเด็กในอนาคต โดยเฉพาะเด็กเจนอัลฟ่า แต่โดยส่วนบุคคล ที่รักดี ไปอ่านหนังสือ ศึกษาเอง ก็มีหลายคนที่เก่ง เช่น Bitkub ที่เพิ่งขายหุ้นไป ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่เก่ง ปัญหาคือ ทำอย่างไรให้เกิดความกว้างขวาง ได้ตื่นตัว ได้เรียนรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆ วันนี้ทั้งโลกพูดถึงเรื่อง เมทาเวิร์ส เป็นสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่เฟซบุ๊กเขาเดินหน้าก่อนเพื่อน เทคโนโลยีหลักๆที่ใช้คือ Visual Reality บล็อกเชน เอาเทคโนโลยีที่มี เอาเข้าไปรวมไปลักษณะการใช้ที่เป็นโลกเสมือจริง ของจริงไปเสมือนจริง เราสามารถเล่นอยู่ใน เมทาเวิร์ส เรียน ทำงาน และ ซื้อของใน เมทาเวิร์ส ยกตัวอย่าง เสื้อผ้ายี่ห้อดีๆ จะอยู่ที่นี่ เฟซบุ๊กที่มูฟ เพราะต่อไปจะมีรายได้ อย่างซาร่า จะขายของ เราก็ไปลองเสมือนจริง ลองอยู่ในนั้น

“เทคโนโลยีตัวนี้ กำลังเข้าไปในชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น จากนี้ จะซื้อน้ำหอมก็อาจจะได้กลิ่นออกมาด้วย ถ้าเราไม่เตรียมตัววันนี้ เราจะถูกกินมากกว่าไปกิน เขาขายเราเราก็มีหน้าที่จ่าย แต่หากเราเตรียมตัว เราจะได้เข้าไปกินเขา ภาครัฐต้องเตรียมตัวล่วงหน้ามากกว่านี้”

แนะตั้งกก. วางแผนล่วงหน้า

โทนีกล่าวว่า อย่างที่เคยพูด ว่าคนที่อยู่ในอำนาจการตัดสิน มักจะคิดแบบอนาล็อก แต่คนมีความคิดแบบดิจิตัล มักจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ การพัฒนาถึงช้า สิ่งที่ห่วงคือ อยากเห็นพัฒนาจริงจังในเรื่องนี้ ตั้งกรรมการเมทาเวิร์สขึ้นมาเลย เอาภาคเอกชนมา หาคนเก่งๆ จะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไร เริ่มจากสอนหนังสือเด็ก นโยบาย หรือ เกม ให้เด็กเล่นได้แค่ไหนอย่างไร เป็นการฝึก skill หากได้ฝึกแต่เด็กโตไปก็เก่ง เด็กต่อไปนี้ จะต้องมีความสามารถในเชิงของการใช้เทคโนโลยี การเขียนโปรแกรม ต้องฝึกตั้งแต่วันนี้ ไม่งั้นโลกข้างหน้า จะอยู่กับเกษตร ขายวัตถุดิบทางเกษตร หรือจะไปรับจ้างทำของ เก็บค่าแรงราคาถูก มันไปไม่ได้แล้วจริงๆ ต้องเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้

“หากผู้นำ ยังคิดแบบโบราณ ชวนเด็กเป็นทหาร วันนี้น่าจะไปไม่รอดหรอก”

“เมทาเวิร์ส สอนให้เด็กรู้จักจินตนาการ ว่าโลกของผมเป็นอย่างนี้ คุณอยากได้โลกแบบไหน ก็เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในแต่ละที่ ก็จะมาร่วมกัน คุยกันได้ เกิดการที่คนรุ่นใหม่ได้พบปะกันในโลกเสมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการในเรื่องอะไร เด็กจะได้คิดไม่ใช่เพ้อฝัน วันนี้ต้องทำอย่างไรให้สมอง”

ก้าวไปออกนอกประเทศไทย

โทนี ยังได้ตอบคำถามถึงคำถามที่ว่า ทำอย่างไรเพื่อเตรียมเด็กไทย ให้กลายเป็นพลเมืองโลกว่า ต้องเริ่มตั้งแต่เด็กๆ ให้ทำโปรแกรมโคดดิ้ง ตั้งแต่ 10 ขวบ และต้องเรียนภาษาอังกฤษให้มากๆขึ้น เรียนไทยและอังกฤษปนกัน ครูยังไม่ต้องพูดถึง ปรับครูอาจจะช้าแต่ต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วย อย่าไปใช้หลักสูตรเดิมๆที่ไปไม่ได้ ต้องให้เข้าใจว่าไทยเป็นส่วนหนึ่งของโลก ไม่ใช่รู้จักแค่ไทยเท่านั้น มันไม่พอ เราต้องคิดว่า เราจะหากินในโลกนี้อย่างไร

และกล่าวว่า วันก่อนผมได้พบนักธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จ เขาก็หาตลาดข้างนอกแล้ว เพราะแค่ไทยมันไม่โต เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไร ให้คนรุ่นใหม่ได้มีความคิดว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก เราจะคิดที่ไทยและไปหากินทั่วโลกอย่างไร อย่าง โกเจ็ก จากอินโดนีเซียก็มาเอาเงินไทย เราทำงานแทบตาย คนก็มาเอาเงินเราไป วันนี้เราจะทำอย่างไรไปเอาเงินเขา ไม่งั้นอนาคตเราไม่มี ที่สำคัญคือ skill ความสามารถในการวิเคราะห์ การเรียนรู้เพิ่มเติมให้กับตัวเอง ที่ต้องเพิ่มหลักสูตรทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ บริษัทใหญ่ๆในโลก เป็นอินเดียทั้งนั้น เพราะ ภาษาได้แน่นอน และเขาเรียนทางคณิตศาสตร์แต่เด็กๆเยอะมาก เขาไปอยู่เมืองนอกก็เป็นใหญ่เป็นโตเยอะไปหมด

“เราต้องคิด เปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ปฏิวัติ อันนี้ห่วย”

“ต้องยอมรับว่า คนไทยที่เก่ง ก็ก้าวหน้าไปเยอะ เด็กๆต้องเรียนรู้ รัฐบาลก็ต้องหัดเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละเรื่องที่พูดมามันเชยดักดาก เป็นห่วงว่า ถ้าท่านแสดงความเชยอยู่เรื่อยๆ และภูมิใจในความเชย น่าห่วง เด็กรุ่นหลังเขาฉลาด ทุกอย่างอยู่ในเรคคอร์ดที่เด็กเขาค้นหา อยู่มานาน 7 ปี ก็วางอนาคตบ้าง พูดแต่เรื่องความหลัง”

“นักธุรกิจ ผู้ประกอบการทั้งหลาย ต้องศึกษาว่า เมทาเวิร์ส จะเอาอะไรไปอยู่ในธุรกิจนั้นบ้าง แล้วเราจะเอาธุรกิจเข้าไปได้อย่างไร อย่างขายของออนไลน์ วงจรมันจะใหญ่ไปทั้งโลก การขายของเราจะดีขึ้น การใช้ NFT หรือ บล็อกเชน ดิจิทัล เคอเรนซี ต้องเตรียมตัว เรียนรู้ หาคนรุ่นใหม่มานั่งทำ ให้เด็กมาเล่าว่า มีอะไรข้างในบ้าง อาหารจะขายได้ไหม ต้องเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้

ปูโชว์ไอเท็มเทคโนโลยีใหม่

ต่อมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้ามาร่วมสนทนาในคลับเฮาส์ จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยได้พูดถึงแว่นตา ที่เรย์แบนด์ สตอรี่ ได้ร่วมกับเฟซบุ๊กผลิตขึ้นมาว่า เรย์แบนด์ สตอรี่ เริ่มขายไม่กี่ประเทศ ที่อังกฤษ อเมริกา อิตาลี และ ออสเตรเลีย โดยแว่นเป็นลักษณะแว่นปกติ แต่สิ่งที่ใส่มาคือฟีเจอร์ ถ่ายภาพวิดีโอได้ ถ่ายรูปได้ สแนปชอท ฟังเพลง รับโทรศัพท์

“จริงๆแบรนด์อื่นก็ทำมานานแล้ว อย่างหัวเหว่ยก็ทำ ล่าสุด เสี่ยวมี่ก็จะมา แต่แว่นเรย์แบรนด์นี้ ที่ร่วมกับเฟซบุ๊ก ปรับแสงได้ เชื่อมกับแอพพ์ที่ชื่อ เฟซบุ๊กวิว ก็มีกล้อง 5 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพนิ่ง และถ่ายวิดีโอได้ 30 วินาที คนจะสังเกตเห็นว่ากล้องทำงานอยู่ มีไฟขึ้น พอถ่ายรูปก็เอาไปขึ้นในเฟซบุ๊ก เหมาะกับคนชอบสแนปภาพ”

“ตัวนี้ เฟซบุ๊กออกมา ถือว่าเป็นนจิ๊กซอว์ เข้าสู่เมทาเวิร์ส เป็นเหมือนเราเห็นอย่างไร เราเห็นด้วยตาอย่างไร ก็ฉายเหมือนตาจริง ก็เชื่อว่าในอนาคต ทางเฟซบุ๊กน่าจะเมิร์ชกับเออาร์ วีอาร์ เหมือนโลกที่เห็นจริง กับโลกเสมือนจริง เข้ามารวมกัน สิ่งที่เฟซบุ๊กเขาทำ แต่ก่อนมีการพัฒนาร่วมกัน ค่าใช้จ่ายแพง ก็เติมฟีเจอร์ของเพลง เชื่อมบูทูธก็ค่อนข้างเพราะ ใช้วอยซ์ คอมมานด์ สั่งได้ เชื่อว่า โลกจากนี้ ทุกเจ้าก็คงจะหันไปพัฒนาในแพลตฟอร์มนี้ เชื่อว่าเทคโนโลยี น่าจะเชื่อต่อในทุกๆ อุปกรณ์ได้ในอนาคต เมทาเวิร์ส ก็จะเกิดขึ้นจริง ทำจินตนาการให้เปรียบเสมือนโลกจริง มีโอกาสในอนาคต”

เรียนรู้จากคนยุคใหม่

ทั้งนี้ ผู้ร่วมสนทนา ได้สอบถามว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้พูดคุยเรื่องเทคโนโลยีกับน้องไปป์ อย่างไรบ้าง ซึ่ง นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่จะเป็นคุณลุงที่คุย เรื่องควอนตัวคอมพิวเตอร์กับน้องไปป์ ส่วนใหญ่คุยกับลูกก็พยายามทำอะไรด้วยกันมากกว่า เขาเรียนด้านเอนจิเนีย เป็นฟิสิกข์ ที่เห็นอย่างหนึ่งคือ เด็ก ออนไลน์ ค่อนข้างเยอะ เด็กวันนี้ น้องไปป์แทบไม่ต้องการหนังสือที่เป็นอนาล็อก แต่ที่ค้น เขาค้นได้ไม่จำกัด บนอินเตอร์เน็ต บนเว็บไซต์ อันไหนที่ไม่รู้ ก็คุย ไม่รู้ก็ไปค้น ไปป์ก็มาคุยเรื่องธุรกิจ ว่าบริหารงานอย่างไร ก็จะมาถาม ส่วนใหญ่มาจากข่าวสาร

ด้าน โทนี กล่าวถึงการติดตามเรื่องของคนยุคใหม่อย่างไรว่า ชอบอ่านบทความใหม่ๆ มันออกทุกวัน อย่างที่เขาบอก ความต่างความชอบของคนวัยต่างๆ อย่าง คนเจน Z จะชอบใส่กางเกงยีนส์ ทรงบอย แต่คนเจน Y พวกนี้ชอบใส่กางเกงสกินนี่ ความชอบที่วัยต่างกัน ก็เออ ใช่ พอไปสังเกต ก็จริง ผมเดินทางเยอะ และคุยกับลูก ลูกผมเจน Y บางทีก็คุยกับหลาน ดูพฤติกรรมของหลาน เขาเล่นเกมอย่างไร เป็นเจนอัลฟ่า ก็พยายามเข้าใจ วันนี้เราต้องเข้าใจ มนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกพร้อมกับเรา ถ้าเราตามเรื่องราวทั้งหมด เราจะเข้าใจเขา และเขาเข้าใจเรา เรื่องแฟชั่น ผมเดินตลอด แขกมาก็พาไปเดินเล่น ไปเดินกับคุณปู ไปเกาหลี ก็ไปแวะ เจนทัล มอนสเตอร์ ราคาไม่แพง ก็นิยม

ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวชอบเทคโนโลยี จะสนใจ อย่างแรกได้ฟังจากโทนี ฟังลูกคุยกัน อย่างที่พี่ชายบอกว่า เราต้องเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นย่าอาย ส่วนตัวชอบเดินดูของ ไปเข้าแกตเจต และดูร้านว่ามีอะไรใหม่ แล้วสัมผัสดู ก็จะเสียเงินกับเทคโนโลยีมาก เอาวีอาร์เกมมาดู อะไรที่เรียนรู้ก็หาจากพวกนี้ และเสิร์ชจากอินเตอร์เนต เทคโนโลยีใหม่ก็จะไป รอบนี้ไปดูไบ คงจะไปเอ็กซ์โป

โทนี กล่าวว่า ไปป์เรียน เอนจิเนีย ก็จะคุยกับไปป์ตลอด เรื่องฟิสิกส์ ควอนตัม เขาอยู่ในวัย และในช่วงการเรียนรู้ ก็เรียนจากเขา

ปูเล่าชีวิตที่ลอนดอน

ต่อมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวถึงการใช้ชีวิตของคนอังกฤษ ในช่วงโควิดว่า ที่อังกฤษ ยอดติดเชื้อสูง แรกๆที่จะเข้าไปอังกฤษก็กลัว แต่คนใช้ชีวิตเหมือนปกติ ส่วนใหญ่ก็ไม่ใส่แมสก์ อย่างปูก็ใส่ ร้านค้าเปิดปกติ แต่มีสิ่งที่ช่วยมากขึ้น ร้านค้าจำนวนมาก รับส่ง ออนไลน์ เว็บไซต์ในการสั่งซื้อ ค่อนข้างเยอะ ติดต่อส่งของไปที่บ้านได้ แต่การจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจเหมือนเดิม ร้านที่มีกำลัง ก็จะรักษาโซเชียล ดิสแทนซิ่ง ส่วนร้านที่เล็กก็ใช้กระจกกั้น

“ที่อังกฤษแจกแอนติเจนฟรี ขอได้ตามร้านค้าไว้ตรวจได้เอง ไม่พอเขียนไปขอได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างโรงเรียนไปป์ที่จะทำกิจกรรมเยอะๆ ก็ต้องส่งผลตรวจไป ว่าไม่เป็นไร ก็จะใช้ชีวิตได้ แม้ว่าจะติดเชื้อสูง อย่างไปรักษาที่โรงพยาบาล ก็จะต้องเอาผลไปตรวจ ถ้าเป็นก็จะทรีตแบบหนึ่ง ไม่เป็นทรีตแบบหนึ่ง ลอนดอนใช้ชีวิตปกติ และ เศรษฐกิจกลับมาแบบเดิม มาอังกฤษ ได้ตรวจดีเอ็นเอ นัช ก็มาตรวจด้วย ของพี่ชาย ไม่เจ็บเลย”

สูญปีละ 40 ล้านปอนด์ ทำทีมบอลแมนซิตี้

ทั้งนี้ ช่วงตอนหนึ่งได้มีคนเข้ามาสอบถามถึงเรื่องการพัฒนาฟุตบอลของไทย โดยถามว่า ตอนที่ทักษิณได้ซื้อทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ ระบบฟุตบอลไทย แตกต่างกับเขามากไหม โทนี กล่าวว่า เราก็ห่างมาก ตอนนั้นเราไม่มีไทยพรีเมียร์ลีก ตอนผมเป็นรัฐบาล ผมไปเอาคอนเซ็ปต์ สตรีท ซอกเกอร์ พี่หอย เป็นคนแนะนำ ก็ได้ฝึกความชำนาญในเรื่องฟุตบอล ตอนช่วงนั้น กับช่วงนี้ ฟุตบอลเราดีขึ้นเยอะ ทั้งระบบการศึกษาพรีเมียร์ลีก ค่าตอบแทน ทำให้เด็กเรียนรู้ บอลวันนี้ ดีกว่าตอนซื้อแมนซิตี้เยอะ

ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมถึงขายนั้น โทนี กล่าวว่า ตอนนั้นขาย เพราะไม่มีตังค์ ฟุตบอลนี่ เป็นเรื่องที่ต้องกระเป๋าลึกจริงๆ ต้องมีเงินเยอะ ไม่งั้นเท่าไหร่ก็หาย ตอนนั้น ผมเงินหายปีหนึ่ง 40 ล้านปอนด์ เพราะว่าเราไม่ได้เป็นแชมป์ เป็นทีมตรงกลาง สปอนเซอร์น้อยมาก ได้ 40 ล้านปอนด์ แต่เดี๋ยวนี้ 80 – 120 ล้านปอนด์ แล้วแต่อยู่ในตำแหน่งไหน แต่เดี๋ยวนี้ค่าตัวแพงมาก อย่าง ไมคาห์ ริชาร์ด ที่ไปเอามาจากอคาเดมี ค่าเหนื่อยอาทิตย์ละ 5,000 ปอนด์ ขยับเป็น 2 หมื่น ตอนเชลซีจะซื้อ ต้องขึ้นเป็น 5 หมื่นปอนด์ แต่ก่อนค่าเหนื่อยมากสุดก็แสนปอนด์ ตอนนี้ 3 แสน หรือ 5 แสนปอนด์ น่ากลัวมาก ยังไงก็ คนให้กำไรก็เอาก่อนดีกว่า

พร้อมแสดงทัศนะ การไปฟุตบอลโลกว่า วันนี้ บ้านเรา พ่อแม่อยากให้เด็กเรียนหนังสือ อยากได้ประกาศนียบัตร ปริญญา เราจะเป็นนักฟุตบอลเอาเลิศทางกีฬา ยาก เด็กทำการบ้านก็เยอะ อากาศก็ร้อนกว่าบ้านอื่น เด็กถ้าจะจริงจัง ก็ต้องปรับว่า การศึกษาโดยอัธยาศัย ก็เทียบเอา ไปเอาจริงเอาจังกับกีฬา มีเวลาก็เรียน ไม่มีเวลาก็ไม่เรียน สอบได้ก็สะสมไป ถ้าได้แบบนี้ เด็กจะทุ่มเทกับกีฬามากขึ้น เด็กมีแรงจูงใจมากขึ้น จะมุ่งมั่นเหมือนที่บราซิล หากไม่ปรับแบบนี้ อย่างพ่อแม่บอกว่าไปเป็นนักฟุตบอลทำไม ไปเป็นครูอะไรดีกว่า

รัฐต้องช่วยค้นหาตัวตนเด็ก

ผู้ร่วมเสวนารายหนึ่ง สอบถามโทนีถึงซีรีส์เรื่องสวิดเกม และถามความเห็นว่า ซอฟพาวเวอร์ไทย จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ โดยว่า ได้ดูเรื่องสควิด เกม เหมือนกัน ซอฟท์พาวเวอร์ไทย ก็อาจเผยแพร่ได้ แต่อาจจะสเกลไม่ใหญ่เท่าเกาหลี เพราะภาคเอกชนที่จะทำเรื่องนี้ ยังไม่ค่อยมีตัวใหญ่ๆเท่าไร่ ก็เป็นไปได้ ถ้า เอไอเอส ทรู จะสร้างธุรกิจสายนี้ขึ้นมา ก็เป็นไปได้ คนไทยมีศักยภาพ แต่ค้นหาตัวเองไม่ค่อยเจอ

“รัฐบาลต้องมาช่วยเด็กค้นหาตัวเองได้อย่างไร จะปรับตัวเองให้เป็นเลิศด้านไหน และเปิดโอกาสให้เด็ก ไม่ใช่ จะเอาเลิศทางการแสดง แต่โรงฉายแทบไม่มี คือ ถ้ามองว่าจะทำให้หนังไทยไปฉายนอกไทย ก็ลงทุนได้มาก ให้เอกชนทำ แล้ว รัฐส่งเสริม ไม่ใช่สร้างปัญหา”

ที่มา matichon