“ผลการทดลองพบว่าสารสกัดกัญชาที่มีทีเอชซี 1 ส่วน ต่อซีบีดี 6 ส่วน มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม (MCF-7) เซลล์มะเร็งไต (A-498) และเซลล์มะเร็งตับ (HepG2) ได้ดี สารสกัดกัญชาที่มีทีเอชซี 10 ส่วน ต่อ ซีบีดี 1 ส่วน มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งปอด (A-549) เซลล์มะเร็งลำไส้ (Caco-2) เซลล์มะเร็งสมอง (A-172) และมะเร็งตับอ่อน (PANC-1) ได้ดี เมื่อเทียบกับยาด็อกโซรูบิซิน (doxorubicin) ส่วนสารสกัดที่มีสัดส่วน ทีเอชซี 2 ส่วน ต่อ ซีบีดี 1 ส่วน มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งแบบไม่มีความจำเพาะ และพบว่าสารสกัดดังกล่าวยังมีฤทธิ์ที่ดีในการสมานรอยแผลในเซลล์ปอดเพาะเลี้ยงในหลอดทดลอง” นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า นอกจากนี้ ยังได้วิจัยด้านพิษวิทยาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดกัญชาไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ (Mutagenicity) ในเชื้อแบคทีเรีย แต่พบว่าสารสกัดกัญชามีความเป็นพิษต่อเซลล์ไตเพาะเลี้ยงสูงที่สุด รองลงมาเป็นเซลล์ตับเพาะเลี้ยง และเซลล์ปอดเพาะเลี้ยง ตามลำดับ
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ข้อมูลการวิจัยดังกล่าวมีการตีพิมพ์ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว แสดงให้เห็นว่ากัญชาพันธุ์ไทยสามารถนำมาพัฒนาเป็นยาหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ แต่ต้องคำนึงถึงขนาดที่อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษ หรือผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์ฯ มีแผนที่จะดำเนินการทดสอบความปลอดภัยของสารสกัดกัญชาในสัตว์ทดลอง หรือระดับคลินิกต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจว่า มีประสิทธิผลและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์
ที่มา matichon